กลับบ้านเราเถอะที่รัก

เธอที่รักทุกคน หลังจากได้อ่านพบชื่อบทความเรื่องนี้ว่า “กลับบ้านเราเถอะที่รัก” หลายคนคงสงสัยว่า บ้านของเราแต่ละคนนั้นมันอยู่ที่ไหนและมีความสำคัญอย่างไร จึงต้องกลับไปบ้านด้วยความรักความห่วงใยอย่างถึงที่สุด
ถ้าเธอเฉลียวใจสักนิดก็น่าจะเดาใจได้ว่า “เป็นเพราะฉันสนใจปัญหาที่อยู่ในรากฐานการจัดการศึกษา” ดังนั้นเรื่องนี้จะหมายความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากทุกคนที่เกิดในชนบทซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของคนทั้งชาติ หลังจากเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยจนกระทั่งจบแล้วก็ควรจะกลับไป สร้างงานใหม่ๆเพื่อความเจริญให้แก่บ้านเกิดของตน แม้คนที่เกิดในเมืองกรุงซึ่งควรตระหนักชัดอยู่เสมอว่า ชนบทนั้นคือพื้นฐานของคนทั้งชาติ

ซึ่งชนบท โดยเฉพาะในระดับพื้นดิน ย่อมมีความสำคัญยิ่งสำหรับการเรียนรู้เพื่อความเป็นมนุษย์ของตัวเธอเองรวมทั้งสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติซึ่งเป็นถิ่นเกิดของเราทุกคน
อนึ่ง หลังจากคำปรารภที่ฉันนำมากล่าวไว้ ณ โอกาสนี้ ถ้าเธอคนไหนได้อ่านแล้วโปรดอย่าพูดนะว่า “ในชนบทนั้นไม่มีใครเขาจ้างงานคนที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย จึงต้องเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ”
ซึ่งประเด็นนี้ถ้าเธอคนไหนมีความคิดอิสระช่วยให้มีจิตใต้สำนึกเป็นไทแก่ตนเอง แทนที่จะพูดเช่นนั้นคงกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันจะคิดสร้างงานใหม่ๆอย่างผู้กล้าหาญ” ทั้งนี้เนื่องจากเกิดจิตวิญญาณที่ตั้งมั่นอยู่กับสัจธรรมแล้วว่า “ถ้าตนยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่มีอิสรภาพ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ฉันจะต้องทำให้ได้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าการเรียนในห้องเรียน”
ความตั้งใจที่ได้กล่าวมานี้เปรียบเสมือน “การตั้งสัตย์ปฏิญาณฝากไว้ให้แก่จิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างผู้กล้าหาญ เพราะรู้คุณค่าในการทำงานซึ่งมีผลสร้างความภูมิใจให้แก่ตนเอง อีกทั้งยังช่วยให้เข้าถึงการทำงานอย่างมีความสุข”
ดังนั้น สำหรับคนที่ชอบอ้างว่า “เพราะไม่มีใครในชนบทจะมาจ้างให้ตนทำงาน ยิ่งเป็นคนที่มีปริญญาสูงๆจากมหาวิทยาลัย” ซึ่งบุคคลลักษณะนี้ เหมือนกับที่คนโบราณได้ปรามาศฝากเอาไว้ว่า “รอให้บุญหล่นทับ” ซึ่งบุคคลลักษณะนี้มักมีนิสัยอย่างที่เรียกกันว่า “นั่งงอมืองอเท้าเพราะความเกียจคร้านที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดคิดและเริ่มต้นสร้างงานใหม่ๆที่ไม่เหมือนใครอย่างท้าทาย”
ซึ่งประเด็นนี้ การก้าวเข้าไปหาปัญหานานาชนิดและลงมือทำด้วยตัวเองนั้น ย่อมมีผลทำให้ตนจำต้องต่อสู้กับใจตัวเองอย่างผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ควรจะมีผลยกระดับคุณค่าจิตใจของตนให้สูงยิ่งขึ้น
ถ้าเธอสังเกตจากบทความที่ฉันเขียนฝากไว้แก่สังคมในอดีตแทบทุกเรื่องมักจะมีข้อความประโยคหนึ่งว่า “รู้สึกท้าทายที่จะนำปฏิบัติ…….” ดังนั้นการที่ฉันสนใจเขียนเรื่องราวต่างๆเพื่อหวังให้ตนมีโอกาสหยั่งรากฐานความรักลงสู่พื้นดินเพื่อการเรียนรู้สัจธรรมลึกซึ้งยิ่งขึ้น จึงมีผลอำนวยประโยชน์ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในจิตใจตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนั้น การปฏิบัติดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นให้คนที่ยังมีนิสัย “นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น” ตื่นลุกขึ้นมาทำงานอย่างท้าทายเพื่อนำตนไปสู่การสร้างสรรค์คุณค่าชีวิตอีกทางหนึ่งด้วย
สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้เอง หาใช่ว่าตัวฉันจะเอาแต่พูดโดยไม่ได้ทำก็หาไม่ หากแท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะการที่ฉันได้นำปฏิบัติมาแล้วในอดีตจึงสามารถค้นหาความจริงจากใจตนเอง เอามาเขียนให้มั่นใจได้ แม้แต่สัจธรรมบทนี้ก็ยังสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาวงการกล้วยไม้ของไทยให้บรรลุผลสำเร็จได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าเรื่องนี้เธอทั้งหลายไม่ว่าจะสนใจปฏิบัติเรื่องใดก็น่าจะใช้สัจธรรมบทเดียวกันให้งานของเธอบรรลุผลสำเร็จและเป็นประโยชน์แก่ตัวเธอเองรวมทั้งสังคมซึ่งเธอมีส่วนร่วมได้ทุกเรื่อง
ดังนั้นถ้าฉันจะพูดอย่างเชื่อมั่นจากการนำปฏิบัติมาแล้วเพื่อฝากเอาไว้ให้เธอคิด ก็คงขออนุญาตกล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมา ก่อนที่จะเริ่มต้นจับงานกล้วยไม้ ถ้าฉันคิดแบบเธอที่ว่า “ไม่มีใครจ้างงาน” วงการกล้วยไม้ของไทยก็คงไม่เกิด อีกทั้งยังขยายเครือข่ายออกไปได้ทั่วโลกเช่นที่ได้เป็นมาแล้วจนถึงปัจจุบัน
นี่แหละคือประเด็นสำคัญที่ฉันมักนำมากล่าวท้วงติงเธออยู่เสมอว่า “ทำไมเธอทั้งหลายจึงได้มองเห็นหน้าฉันเป็นกล้วยไม้กันไปแทบจะหมด แม้แต่คนที่มีปริญญาสูงๆมาจากเมืองนอก แท้ที่จริงแล้วฉันไม่ได้ทำเรื่องกล้วยไม้เท่านั้น หากทำในเรื่องที่มันลึกซึ้งและมีคุณค่าแก่ชีวิตตัวเองที่สานเหตุผลถึงคุณค่าของสังคมท้องถิ่นลึกซึ้งยิ่งกว่ากล้วยไม้มาก” ดังนั้นหากเธอมีโอกาสศึกษาหาความรู้จากบทความเรื่องนี้แล้วนำไปคิดพิจารณาให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะต้องคิดหลายตลบแค่ไหน วันหนึ่งข้างหน้าเธอน่าจะพบความจริงว่าคำตอบจากเหตุที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นมันอยู่ภายในนี้ทั้งหมด
ดังนั้นจากประเด็นดังกล่าว ถ้าเธอมีนิสัยตื่นอยู่เสมอ ก็ควรจะสนใจค้นหาความจริงภายในรากฐานจิตใจของฉันเพื่อพบสิ่งที่เป็นประโยชน์จากการจัดการศึกษาที่ช่วยให้ชีวิตฉันเองซึ่งควรจะมีผลสานถึงรากฐานจิตใจคนท้องถิ่น แม้ตัวเธอเองลุกขึ้นมายืนหยัดเช่น “บุคคลผู้ซึ่งมีความภูมิใจในตนเอง แทนที่จะรู้สึกภูมิใจเพราะได้ตำแหน่ง มีอำนาจ รวมทั้งความมีหน้ามีตาจากการมีทรัพย์สินเงินทองและความสะดวกสบายจากรูปวัตถุนานาชนิด” เช่นนิสัยของคนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนี้
สรุปแล้ว การที่ฉันนำประเด็นดังกล่าวมาชี้แจงแสดงเหตุและผล หากเธอสนใจค้นหาความรู้บนพื้นฐานสังคม ก็ควรจะหยั่งรู้ความจริงได้ว่า ประเด็นนี้มีผลสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขภายในการจัดการศึกษายุคปัจจุบัน ซึ่งนอกจากไม่สร้างสรรค์ให้คนในสังคมมีคุณสมบัติที่ควรได้รับการยอมรับแต่กลับทำลายคุณค่าชีวิตของตัวเธอเองรวมทั้งคนทั่วไปในสังคมไทยเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ปกติแล้ว ฉันเป็นคนมีนิสัยสนใจเริ่มต้นค้นหาความจริงจากใจตนเองหลังจากมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดตัวเองมากที่สุดในทุกๆเรื่อง ทั้งนี้เพื่อหวังที่จะค้นหาปัญหาซึ่งเกิดจากการจัดการให้ถึงรากฐาน แม้แต่การเดินผ่านไปตามถนน หลังจากแลเห็นผู้คนประกอบอาชีพ “แบบร้านค้าแผงลอยที่อยู่ในเมืองกรุงซึ่งเพิ่มปริมาณแออัดยิ่งขึ้นทุกวัน” นอกจากนั้นยังได้พบข่าวจากรายงานของสื่อที่เกี่ยวกับอาชญากรรมภายในกรุงเทพฯและชุมชนแออัดอย่างกว้างขวาง ซึ่งในอดีตบรรยากาศดังกล่าวเราเคยอยู่กันอย่างสงบช่วยให้ทุกคนมีความสุข แต่คนชนบทกลับมีความทุกข์หนักจนกระทั่งอพยพเข้าเมืองเพราะรากฐานจิตใจตัวเองขาดความเข้มแข็งอดทนสำหรับการมอบความรักให้แก่แผ่นดินถิ่นเกิดของตน ทำให้อดที่จะมองย้อนกลับไปสู่ปัญหาซึ่งเกิดขึ้นแก่ชีวิตคนชนบทเสียมิได้
หลังจากนั้นฉันจึงพบความจริงว่า “เพราะการพัฒนาชนบทซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมไทยเท่าที่เป็นมาแล้วจนถึงขณะนี้ประสบกับความล้มเหลวกว้างขวางยิ่งขึ้นจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมโดยองค์รวม”
นอกจากนั้น หลังจากหวนกลับไปพิจารณาถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในชนบทร่วมกับภายในกรุงเทพฯ แน่นอนที่สุดถ้าไม่พบปัญหาที่เกิดขึ้นภายในเมืองกรุงร่วมกับชนบทซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันแล้ว เราก็ย่อมไม่รู้สึกถึงความจริงได้ว่าการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะชนบทซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของชาติยิ่งพัฒนาก็ยิ่งเกิดปัญหาเพิ่มมากยิ่งขึ้นเพราะคนในเมืองกรุงที่อยู่กันอย่างสุขสบายเนื่องจากตกอยู่ภายใต้อิทธิพลวัตถุ ทำให้ขาดจิตใต้สำนึกซึ่งควรจะมีความรักความจริงใจต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ในชนบท
ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด หากนำมาประกอบกันเป็นภาพรวมย่อมพบความจริงได้ว่า “ขณะนี้การพัฒนาประเทศ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม รวมทั้งปัญหาการเมืองเท่าที่เป็นมาแล้วในอดีตอันยาวนาน ย่อมมีส่วนร่วมในการประสบกับความล้มเหลวจนกระทั่งอาจทำให้อนาคตของชาติจำต้องสูญเสียเอกราชอธิปไตยไปอย่างเป็นธรรมชาติได้ไม่ยาก”
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่คนท้องถิ่นทุกคนไม่ว่าจะยืนอยู่ในจุดไหนเป็นคนระดับไหน และปฏิบัติงานเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมมีความสำคัญสำหรับความสำเร็จหรือล้มเหลวในการพัฒนาประเทศเท่าเทียมกันหมด
จึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าเราทุกคนจะยืนอยู่ ณ จุดไหนและมีสภาพแตกต่างกันอย่างไร แต่ภายในรากฐานจิตใต้สำนึกควรจะรำลึกถึงความจริงอยู่เสมอว่า แต่ละคนเป็นคนท้องถิ่นอย่างเท่าเทียมกันหมด การนำเอาความแตกต่างจากภาพภายนอกมายึดถือเป็นเรื่องจริงจังไม่สมควรอย่างยิ่ง นอกจากควรตระหนักได้ว่าเราทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกันจึงควรมีจิตใจร่วมรักสามัคคีกันเข้าไว้ โดยเฉพาะมีจิตวิญญาณที่ให้ความรักความผูกพันแก่แผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองเด่นชัดอยู่เสมอ ย่อมทำให้ชาติบ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างเป็นธรรมชาติ

23 กรกฎาคม 2552

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *