ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย

เธอที่รักทุกคน ในช่วงนี้ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน มักมีผู้คนปรารภให้ได้ยินได้ฟังกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงปัญหาในสังคมไทย เหมือนกับสะกิดใจให้คนส่วนใหญ่บ่นว่าแย่ บางครั้งฉันก็นึกถึงสัจธรรมบทหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า “เมื่อมีสิ่งนี้ ก็ย่อมไม่มีสิ่งนั้น” จึงรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมักมีรายงานที่ชวนให้รู้สึกได้ถึงความเพียรพยายามที่จะประกอบกรรมดีให้ปรากฏแก่สายตาของเพื่อนมนุษย์ทุกคน

ฉันนึกถึงหลักธรรมบทหนึ่ง สิ่งนั้นก็คือ “ปฏิกิริยาตาชั่ง” ซึ่งมีสองด้าน ทั้งนี้“เมื่อด้านหนึ่งขึ้นอีกด้านหนึ่งก็ย่อมลง”เป็นธรรมดา ดังนั้นถ้าปรากฏการณ์อันเกิดจากการที่ด้านหนึ่งกำลังสับสนวุ่นวาย เราก็ควรมองเห็นโอกาสในการปฏิบัติและควรเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมที่อยู่ใกล้ชิดตัวที่สุดก็คือ การสร้างความเข้มแข็งในการเอาชนะใจตนเองให้ได้ อีกทั้งรู้ว่าถ้าสังคมไม่เกิดปัญหาหนัก เราก็ย่อมมองไม่เห็นปราชญ์
ความจริงแล้วประเด็นนี้มีตัวอย่างให้เห็นได้อย่างชัดเจน ดังเช่นประเทศอินเดียซึ่งมีปัญหาความยากจนอย่างหนักในระดับโลก เราถึงมีโอกาสพบกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่มหาตมะคานธีก็เกิดในอินเดีย
เรื่องนี้สอดคล้องกันกับวิถีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “หมุนวนเป็นวัฏจักร” ดังนั้นถ้าเหตุการณ์ต่างๆ ภายในโลกใบนี้มันทำลายชีวิตคนได้ทั้งหมดจะเหลืออะไรให้เกิดใหม่ได้สำเร็จ ดังนั้นผลจาการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยจึงต้องเหลือหนึ่ง แม้แต่พื้นฐานของวิชาการ “สถิติพยากรณ์” ยังต้องมีองศาความอิสระ (n-1) ผลการใช้สถิติพยากรณ์จึงสามารถทำนายอนาคตได้อย่างใกล้เคียง
แม้แต่สภาพของปัญหาในสังคมไทยทุกวันนี้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนหนักมากยิ่งขึ้น วันหนึ่งเราก็คงได้ “คนขี่ม้าขาว”มาช่วยฟื้นฟูสังคมให้ดีขึ้นได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาคนจะเดือดร้อนถึงระดับหนึ่ง เราก็คงยังมองไม่เห็นปราชญ์จึงขอให้รอดูกันต่อไปและขอเรียนว่าอย่าได้ผิดหวังมากเกินเหตุเกินผล
ทุกสิ่งทุกอย่างจึงควรจะอยู่ที่ตนเองเพื่อใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์เท่าที่ผ่านมาแล้วในอดีต บางครั้งมีคนเดือดร้อนเข้ามาหาฉัน ตัวฉันเองก็ได้ให้กำลังใจและชี้ให้เห็นความหวังถึงขนาดเขียนร้อยกรองบทหนึ่งฝากไว้ให้คิด
ยามรุ่งแจ้ง แสงทอง เริ่มส่องฟ้า
ดวงจันทรา ลาลับไป ในแสงสูรย์
สิ่งที่เคย เย็นช่ำ ร่ำจำรูญ
พาให้สูญ ลับไป ในกัปกาล
อนึ่ง ตามที่เคยกล่าวย้ำเอาไว้ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้าน เมื่อด้านหนึ่งขึ้นอีกด้านหนึ่งก็ย่อมลง” ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยึดติดอยู่กับอำนาจจนกระทั่งมีการแย่งชิงกันอุตลุด เหตุการณ์ดังกล่าวนี่แหละที่ทำให้ประชาชนคนทั่วไปบ่นกันว่า “แย่มาก” เมื่อรู้สึกว่าแย่เหตุใดจึงไม่มองอีกด้านหนึ่ง ซึ่งด้านนี้ควรจะรู้ว่าคือวิถีชีวิตที่แท้จริง “ถ้าเราไม่ยึดติดอยู่กับอำนาจก็ย่อมมองเห็นศรัทธาบารมี”
จากความคิดดังกล่าว ฉันกล้ายืนยันได้ว่าตัวเองได้ใช้เป็นหลักปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งกว่านั้นการทำงานให้แก่สังคมอย่างมีความสุขก็เกิดจากเส้นทางสายนี้ เว้นไว้แต่ว่าในใจเธอเองขาดคุณธรรมจึงยังมองไม่เห็น
ฉันขอเตือนว่า ถ้าขืนดันทุรังใช้เส้นทางเก่าก้าวหน้าต่อไป ชีวิตก็ย่อมพังอย่างแน่นอน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็ตัวเองนั่นแหละที่ควรหวนกลับมาพิจารณาค้นหาความจริง เราจะไปหลงโทษใครก็คงไม่ได้
แต่ก่อนเรามักคิดกันว่าคนขี่ม้าขาวจะมาช่วยแก้ปัญหา แท้จริงแล้วความหมายของคนขี่ม้าขาวก็ไม่ได้หมายความแต่เพียงด้านเดียว แต่อีกด้านหนึ่งเราควรเข้าใจว่า คนขี่ม้าขาวคือคนที่มีคุณธรรมลึกซึ้งถึงระดับหนึ่ง หาใช่มาช่วยแก้ปัญหาในด้านวัตถุเช่นที่คนยุคก่อนเคยเข้าใจกันไม่
จากเรื่องราวทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำให้ฉันนึกถึงหลักธรรมอีกบทหนึ่งซึ่งชี้ไว้อย่างชัดเจนมาแล้วว่า “จงมองทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นถึงด้านดี”
เหตุผลก็มาจากเรื่องราวที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงสรุปได้ว่า การจะมองเห็นได้ในด้านดีหรือไม่ มันก็อยู่ที่ใจเธอเองนั่นแหละ ถ้าเธอมองไม่เห็นก็ควรจะหวนกลับมาพิจารณาค้นหาความจริงจากใจตนเองให้พบ ก่อนที่จะเชื่ออะไรก็ตามซึ่งมีผลเป็นอย่างอื่น
แล้วชีวิตเราแต่ละคนในอนาคตก็ควรจะอยู่อย่างมีความสุขได้สำเร็จ

26 กันยายน 2553

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *