ศิลปะศึกษา กับวิถีการดำเนินชีวิต
ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก…. คือส่วนหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ แม้ล้นเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ รวมถึงในหลวงทุกพระองค์เท่าที่ชีวิตกรุงรัตนโกสินทร์ได้ผ่านพ้นมาแล้วจนถึงขณะนี้
ฉันคิดว่าถ้าบุคคลใดมีรากฐานจิตใจที่อิสระถึงระดับหนึ่ง ควรจะเข้าใจความหมายของคำว่า “ดนตรีการ” ลึกซึ้งยิ่งกว่าการมองเห็นแต่เพียงภาพของการดีด สี ตี เป่าเท่านั้น เพราะมีกรอบจำกัดปรากฏอยู่ในรากฐานจิตใจผู้มองซึ่งมีทัศนะที่เห็นได้เพียงแค่นั้น เช่นเดียวกันกับการมองเห็นหน้าฉันเป็นกล้วยไม้
ทั้งนี้ ความหมายของดนตรีในที่นี้ น่าจะหมายถึงศิลปะทุกรูปลักษณะที่เกิดจากจิตวิญญาณอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
ตัวอย่างเช่น ภายในภาพรวมของสังคมที่มีศิลปะการดนตรี ศิลปะการเขียนภาพ ศิลปะการถ่ายภาพ วรรณศิลป์ฯลฯ แม้แต่ศิลปะการบริหารงานบุคลากร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงตัวอย่างของความหลากหลายที่ปรากฏอยู่ในวิถีของการดำเนินของบุคคลผู้มีคุณสมบัติความเป็นมนุษย์
ส่วนโลกใบที่อยู่ในจิตวิญญาณมนุษย์นั้น หากแต่ละคนสามารถรักษาความซื่อสัตย์ต่อตนเองให้เป็นความจริงอยู่ ย่อมช่วยให้ตนหยั่งรู้ได้ว่า “ศิลปะในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนมนุษย์ที่มีความหลากหลายอันเป็นธรรมชาติของโลก ควรจะมีความสำคัญอย่างที่สุด” ดังนั้นหากพูดถึงดนตรีการ ถ้าฉันจะกล่าวว่า “เพลงชีวิต” ถ้าบุคคลใดนำปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามควรจะนำไปสู่ความสำเร็จและมีผลช่วยให้เข้าถึงความสุขได้ทุกเรื่อง
ดังนั้นสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว ภายในภาพรวมหากแต่ละคนหยั่งรู้ความจริงได้ว่า “ถ้ามีรากฐานจิตใจที่อิสระ หากมุ่งมั่นปฏิบัติในเรื่องใดก็ตามควรจะมีความเป็นครูเป็นศิษย์ที่ปรากฏอยู่ในจิตวิญญาณตนเอง” อันหมายถึงการเรียนรู้บนพื้นฐานสัจธรรมของชีวิต
ดังนั้น มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาสู่โลกใบนี้ หาใช่มีแต่เพียงร่างกายเท่านั้นไม่ หากรู้เท่าทันต่ออิทธิพลของร่างกายอันหมายถึง รูป รส กลิ่น เสียง ควรจะรู้ว่า“จิตวิญญาณตนเอง” คือพื้นฐานการดำเนินชีวิตอันควรถือว่ามีความสำคัญอย่างที่สุด ส่วนศิลปะนั้นหมายถึงการแสดงออกโดยมีวิญญาณความรักพื้นดินที่สานการเรียนรู้เหตุและผลถึงความรักเพื่อนมนุษย์บนพื้นฐานความหลากหลาย
อนึ่ง ภายในภาพรวมของมวลมนุษยชาติ ยิ่งเป็นบุคคลผู้มีรากฐานจิตใจอิสระถึงระดับหนึ่ง นับตั้งแต่การแบ่งแยกชาติกำเนิด แม้แต่การแบ่งแยกศาสนา ย่อมนำปฏิบัติที่สานเหตุและผลถึงซึ่งกันและกันจึงทำให้บังเกิดความสุขขึ้นในสังคมของโลกใบนี้
ดังนั้น หากวิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลใดที่ให้ความสนใจศิลปะสาขาใดสาขาหนึ่งก็ตาม ถ้าขาดศิลปะความเป็นมนุษย์ย่อมทำให้เกิดอุปสรรคขึ้นแก่ตนเองรวมทั้งเกิดปัญหาขึ้นแก่สังคม หลังจากก้าวออกไปสู่ด้านหน้าถึงจุดหนึ่ง ย่อมพบปัญหารุนแรงยิ่งขึ้นไม่ว่าเร็วหรือช้าแค่ไหน
ยิ่งบุคคลผู้แสดงออกถึงกิจกรรมในสาขาใดสาขาหนึ่ง ถ้ารู้สึกเบื่อหน่าย หรือเห็นสิ่งอื่นบนพื้นฐานวัตถุที่สำคัญมากกว่าทำให้ละลดกิจกรรมนั้นลงไป ย่อมหมายความว่า ความสนใจในอดีตน่าจะมีเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปแอบแฝงอยู่ในจิตวิญญาณตนเองจนกระทั่งมีผลทำลายความสงบสุขของชีวิตตัวเองรวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
ความรู้สึกนึกคิดที่สานเหตุและผลถึงสภาวะภายในกิจกรรมดังกล่าว หากมีเงื่อนไขอื่นใดเข้าไปแอบแฝงอยู่ในจิตใจตนเอง ถ้าละลดสิ่งนั้นลงไปได้ ย่อมช่วยให้กิจกรรมในด้านศิลปะสามารถปรากฏดำรงอยู่ได้ หรือไม่ก็สิ่งที่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายย่อมหวนกลับมาเริ่มต้นได้ใหม่ไม่ว่าเร็วหรือช้าแค่ไหน
ทั้งนี้ ธรรมชาติที่อยู่ภายในจิตวิญญาณมนุษย์นั้น หากมีเงื่อนไขอื่นใดที่อยู่บนพื้นฐานรูปวัตถุเข้าไปแอบแฝงย่อมขาดความมั่นคงยั่งยืนเป็นธรรมดา
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก” หรือ “ระหว่างบุคคลผู้มีโอกาสเหนือกว่ากับผู้ด้อยกว่า” ทั้ง 2 ด้านต่างก็มีวิญญาณที่เรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียมกันหมด
ฉันจึงเคยกล่าวฝากไว้ว่า หากยืนอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ถ้ามองออกจากตัวเองไปสู่ด้านนอก ย่อมเห็นภาพรวมของมนุษยชาติที่มีความแตกต่างในด้านรูปวัตถุอย่างหลากหลาย ครั้นหวนกลับมาค้นหาความจริงจากใจตนเอง ย่อมพบความเป็นหนึ่งเดียวอันนับได้ว่าคือรากฐานจิตใจที่มีศิลปะเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตซึ่งควรรักษาเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้
ดังนั้น หากบุคคลใดมีวิญญาณในด้านศิลปะแล้วสามารถรักษาเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ บุคคลผู้นั้นย่อมรักษาคุณสมบัติความเป็นมนุษย์เอาไว้อย่างสมศักดิ์ศรี
“ขึ้นขี่หลังเสือนั้นง่าย แต่ลงจากหลังเสือนั้นซิยากยิ่ง” ข้อความประโยคนี้คนรุ่นก่อนได้กล่าวฝากเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังนำไปคิดค้นหาเหตุผล
แท้จริงแล้ว หากนำมาตีความจากรากฐานจิตใจที่อิสระควรเข้าใจได้ว่า “การสั่งสมกิเลสภายในจิตวิญญาณตนเองนั้น มักมีแนวโน้มที่เป็นไปได้ง่ายกว่าการชำระล้าง”
ความจริงแล้ว ศาสตร์ทุกสาขามีรากฐานเป็นหนึ่งเดียวกันหมด ในหนังสือที่ชื่อ “การศึกษากับการจัดการ” ที่ฉันได้เรียบเรียงนำเสนอไว้แก่สังคม ในช่วงสุดท้ายได้ปรากฏข้อความที่ไม่ยาวมากนักว่า “ธรรมะคือศูนย์รวมของศาสตร์ทุกสาขา แม้วิทยาศาสตร์ บุคคลใดมีรากฐานจิตใจอิสระถึงระดับหนึ่ง ย่อมมีศิลปะอยู่ในจิตวิญญาณ จึงสามารถใช้โอกาสศึกษาธรรมะที่อยู่ในใจตนเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ”
ตัวฉันเองในช่วงที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฉันเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ที่เน้นความสำคัญของวิชาเคมี ซึ่งเป็นพื้นฐานการเรียนรู้เรื่องดิน แต่แล้วฉันก็สามารถหยั่งรู้ความจริงจากวิชาเคมีที่สานเหตุและผลลงไปถึงสัจธรรมอันหมายถึงดินกับวิญญาณมนุษย์ได้ตั้งแต่บัดนั้น แม้แต่วิชาสถิติพยากรณ์ ตัวฉันเองก็สามารถรู้ได้ว่า “วิชานี้คือภาพจำลองของหลักธรรมทั้งหมด”
มาถึงบัดนี้จึงสรุปได้ว่า “วิญญาณในด้านศิลปะซึ่งทุกคนมีมาโดยชาติกำเนิดอย่างเป็นธรรมชาติ” แม้จะแตกต่างกันอย่างหลากหลาย หากบุคคลใดสามารถรักษาเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ ท่ามกลางวิถีการเปลี่ยนแปลงของรูปวัตถุซึ่งนับวันยิ่งทำให้เกิดสภาพห่างจากความจริงที่อยู่ในใจตนเองเพิ่มมากยิ่งขึ้น ถ้าบุคคลใดมีรากฐานจิตใจที่เข้มแข็งจนกระทั่งสามารถต่อสู้กับสิ่งที่เป็นเงื่อนไขอยู่ในใจตนเองได้แล้ว วิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลผู้นั้นย่อมได้รับการเคารพรักจากเพื่อนมนุษย์ในสังคมอย่างลึกซึ้ง
“ศาสตร์ทุกสาขาคือการนำเอาหลักธรรมมาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ภายในสังคม” ดังนั้นผลที่ปรากฏดังจะเห็นได้ว่า คนที่เรียนศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่งมาจากสถาบันการศึกษา ส่วนใหญ่มักมีแนวโน้มยึดติดอยู่กับรูปแบบที่ปรากฏออกมาจากการนำไปใช้ประโยชน์ภายในสาขานั้นๆ จึงยากที่จะให้แต่ละคนเรียนรู้ธรรมะจากของจริง
“เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นเช่นนี้” เพราะฉะนั้นเมื่อยึดติดอยู่กับรูปแบบ ไม่ว่ามีมากมีน้อยแค่ไหน ภายในรากฐานจิตใจตนเองก็ย่อมยากที่จะหวนกลับมาสู่อิสรภาพ อันหมายถึงรากเหง้าของประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งบุคคลลักษณะนี้นับวันก็ยิ่งสูญเสียคุณค่าชีวิตที่ควรได้รับการยอมรับจากสังคมเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นบุคคลลักษณะดังกล่าว แม้มีวิญญาณในด้านศิลปะมาโดยกำเนิด ตัวเองก็ยังไม่อาจที่จะรักษามันไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ นอกจากนับวันชีวิตก็ยิ่งสูญเสียสิ่งอันทรงคุณค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น จนกว่าจะได้รับผลกระทบจากการกระทำของตัวเองที่เกิดจากเพื่อนมนุษย์ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดถึงระดับหนึ่ง ทั้งนี้แล้วแต่กรรมและกาลเวลา
สภาพการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนในสังคมดังได้กล่าวมาแล้ว ทุกวันนี้น่าจะทำให้การจัดการศึกษาภายในสังคมควรรู้สึกได้ถึงปัญหาซึ่งทุกคนน่าจะแสดงความรับผิดชอบเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะภายในจิตวิญญาณคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ขาดความเข้มแข็งพอที่จะเอาชนะใจตนเองเพื่อรักษาวิญญาณด้านศิลปะที่อยู่ในรากฐานจิตใจให้มั่นคงอยู่ได้ นอกจากจำต้องประสบกับความสูญเสียเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งการสูญเสียดังกล่าวหมายถึงการสูญเสียคุณค่าความเป็นมนุษย์อันนับได้ว่าสำคัญที่สุดแล้ว
8 มีนาคม 2553