เข้าป่าหากล้วยไม้ครั้งแรกในชีวิต
โดย
ศาสตราจารย์ระพี สาคริก
………………………………………………………………………
บทนำ
จากชีวิตในช่วงที่ยังเป็นเด็กเล็กๆมาจนถึงวัยกว่า 15 ขวบ สิ่งซึ่งตนเองได้รับการถ่ายทอดจากพ่อ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า พ่อต้องการเลี้ยงลูกให้เรียนรู้สัจธรรมจากความลำบาก และ การต่อสู้ด้วยลำแข้งตัวเองมาโดยตลอด ถึงกับบางครั้งได้ยินคำปรารภจากญาติผู้ใหญ่ที่กล่าวว่า คุณพระฯ. เลี้ยงลูกให้รู้จักความลำบาก เช่นเดียวกับที่ตัวเองเคยเผชิญมาแล้ว
ภาพของกล้วยไม้พื้นบ้าน 5 – 6 กระเช้า ซึ่งปลูกใส่กระเช้าไม้สักแขวนทิ้งไว้บนราวกลางแดดกลางฝน โดยที่อาศัยร่มเงาชายคาเล็กๆน้อยๆหน้าเรือนไม้ชั้นเดียว อันเป็นที่อยู่อาศัยของพ่อ – แม่ และผม ซึ่งตัวเองไม่เพียงเดินผ่านไปมาวันละหลายๆเที่ยว แต่ยังมีใจจดจ่ออยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นกล้วยไม้อะไร ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกลึกๆแล้วยังสร้างภาพเป็นจินตนาการที่เชื่อมโยงไปถึง ภาพอันสวยสดงดงาม ที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวา ของกล้วยไม้ซึ่งกำลังออกดอกสะพรั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของป่าอย่างเป็นธรรมชาติ
ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งผมและน้องๆได้รับการฝึกฝนมาจากพ่อคือ ความรัก ความสนใจ ในการใช้ชีวิตนอนกลางดินกินกลางป่า และฝึกให้ลูกๆรู้จักการยิงปืน ตลอดจนถึงการรักษาปืน พ่อมีปืนลูกซองแฝดอยู่กระบอกหนึ่ง เป็นปืนซึ่งสั่งซื้อมาจากยุโรปเป็นพิเศษ ก่อนการสั่งซื้อได้มีการวัดความยาวช่วงแขนของพ่อและส่งข้อมูลไปประกอบการทำช่วงพานท้ายปืนกระบอกนี้ให้มีขนาดและความยาวอย่างสอดคล้องกัน ที่ด้านนอกของโก่งไกปืนมีลายเซ็นของพ่อสลักไว้อย่างสวยงาม กับอีกกระบอกหนึ่งคือปืนยาวอัดลมเบอร์ 2 ซึ่งปืนกระบอกนี้ได้มีการดัดแปลงกลไกที่อยู่ภายในไว้เป็นพิเศษ กล่าวคือ อัดเอาสปริงลูกสูบเข้าไว้ถึงสองท่อน ให้มีแรงอัดลมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของปืนอัดลมธรรมดา สำหรับปืนลูกซองนั้นภายในซองกระสุนจะบรรจุกระสุนไว้มากน้อยแล้วแต่ลักษณะของเป้าที่ต้องการจะยิง ถ้ายิงสัตว์ขนาดกลางก็มักใช้เบอร์ 9 เนื่องจากขนาดของเม็ดกระสุนที่บรรจุอยู่ในซองค่อนข้างโตแต่มีจำนวนน้อย หรือ 9 เม็ด ถ้าเป็นสัตว์ขนาดเล็ก แต่มีความไวในการเคลื่อนไหวค่อนข้างสูงก็จะใช้เบอร์ 12 ซึ่งยิงหนึ่งนัดกระสุนจะออกไปเป็นกลุ่มถึง 12 เม็ด บางคนก็เรียกกันว่าลูกดาวกระจาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลายกระบอกปืนของพ่อ ตัดสั้นกว่าปรกติเล็กน้อย เพื่อทำให้กลุ่มกระสุนมีการกระจายเป็นลำกว้างมากขึ้น
ผมได้รับการฝึกฝนจากพ่อให้ใช้ปืนอัดลมแทนปืนลูกซอง โดยที่พ่อให้เหตุผลว่า ปืนอัดลมมีกระสุนขนาดเล็กและยิงได้เพียงครั้งละ 1 ลูก จึงเป็นสิ่งท้าทายต่อการฝึกความอดทนและความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเคลื่อนไหวเข้าหาเป้าหมายที่มีชีวิต และฝึกให้เป็นคนใจเย็น ประกอบกับเดิมทีตัวผมเองก็เป็นคนสนใจที่จะทำอะไรๆ บนฐานความรู้สึกที่ท้าทายอยู่แล้วด้วย
ในบริเวณย่านถนนเศรษฐศิริ อำเภอดุสิต ซึ่งเป็นบ้านของพ่อและแม่ในขณะนั้น ยังเต็มไปด้วยกอไผ่ ต้นไม้ใหญ่น้อย สวนผัก สวนฝรั่งของชาวจีน และท้องไร่ท้องนา ซึ่งมีนกกาอุดมสมบูรณ์มาก ผมคงต้องยอมรับว่า ในขณะนั้นตัวเองยิงปืนอัดลมได้แม่นยำมาก เรื่องสนามยิงปืนในช่วงนั้นคงไม่ต้องพูดถึงเพราะยังไม่มี นอกจากของทหารซึ่งก็คงไม่ยอมให้ใครจากภายนอกเข้าไปใช้ ประกอบกับตัวผมเองก็ยังเด็กพอสมควร จึงมีแนวโน้มสนุกกับการยิงเป้าที่มีชีวิต
ผมยิงปืนแม่นยำถึงขนาดที่ ศูนย์ปืนซึ่งกำหนดไว้ให้ตั้งได้สุดระยะเพียง 50 เมตร ซึ่งนับว่าไกลที่สุดแล้ว แต่ตัวเองยังสามารถยิงอีกาที่เกาะบนยอดต้นสนลิบๆห่างร่วม 100 เมตร โดยกะระยะเลยพิกัดศูนย์บนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ตัวแล้วตัวเล่า ประกอบกับปืนอัดลมกระบอกที่ใช้อยู่นั้นบรรจุสองสปริงด้วย แม้ระยะดังกล่าวก็ยังทำให้กระสุนสามารถทะลุผ่านไปได้ไม่ยาก
อนึ่งในสมัยนั้น พ่อกับเพื่อนๆร่วมงานในวังอีก 2 – 3 คน สนใจใช้ปืนลูกซองไปยิงนกปากซ่อม (Snipe) ตามท้องไร่ท้องนาในระหว่างวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นครั้งเป็นคราว โดยถือเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง ผมเข้าใจว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของกีฬาซึ่งได้รับการถ่ายทอดและรับอิทธิพลมาจากอังกฤษ เนื่องจากเจ้านายในยุคนั้นก็ได้รับอิทธิพลการศึกษาและใด้ใกล้ชิดกับสายวัฒนธรรมอังกฤษมานานแล้ว
นกปากซ่อมเป็นนกซึ่งหากินอยู่กับพื้นนาข้าว โดยเฉพาะในช่วงที่รวงข้าวกำลังใกล้จะสุก แต่พื้นนายังมีน้ำขังแฉะอยู่อีกเล็กน้อย เข้าใจว่านกชนิดนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับนกคุ่ม ขนตัวมีลักษณะลาย ขาค่อนข้างยาวแต่ไม่ยาวมากเหมือนนกยาง ปากมีลักษณะเรียวยาว คงด้วยลักษณะนี้เองจึงได้รับการขนานนามว่านกปากซ่อม จัดได้ว่าเป็นนกซึ่งบินได้รวดเร็วและว่องไวมาก
เกมกีฬาชนิดนี้ นอกจากใช้ปืนลูกซองซึ่งบรรจุซองกระสุนเบอร์ 12 ที่มักเรียกกันว่าลูกดาวกระจายหรือลูกปราย ซึ่งเป็นชุดกระสุนที่เม็ดเล็กละเอียดที่สุดแต่กระจายเป็นลำโตๆ ในด้านวิธีการยิงนั้น คนยิงจะถือปืนเดินไปบนคันนาอย่างช้าๆ โดยที่มีเด็กลงเดินลุยในพื้นนาเพื่อให้นกตกใจและบินหนี
คนถือปืนจะต้องมีสายตาที่ไวมาก เพราะทันทีที่เห็นนกบินขึ้น นกชนิดนี้มักมุ่งทิศทางบินพุ่งไปข้างหน้า แทนที่จะบินขึ้นสูง และบินรวดเร็วมาก คนยิงจึงต้องใช้ความไว ยกปืนยิงไล่หลังโดยแทบไม่มีเวลาเล็งไปยังเป้า ประกอบกับสีของนกค่อนข้างกลืนไปกับสีต้นข้าวซึ่งกำลังใกล้จะสุก การแข่งขันจึงขึ้นอยู่กับว่า ผู้ยิงแต่ละคนมีความชำนาญและความฉับไวมากน้อยแค่ไหน การวัดผลก็ใช้เพียงภายในช่วงเวลาที่กำหนดซึ่งตกลงกันไว้ ใครได้นกจำนวนมากกว่ากันก็จะเป็นผู้ชนะ
กีฬายิงนกดังกล่าว ในอังกฤษกระทำกันไม่เพียงกับนกชนิดนี้เท่านั้น นกเป็ดและนกอื่นๆ แม้มีการผสมพันธุ์สุนัขเพื่อให้เหมาะแก่การนำมาฝึกใช้ไล่นกและไว้คอยเก็บนกด้วย
ตามที่กล่าวมาแล้วว่าเป็นกีฬาซึ่งนำมาจากวัฒนธรรมอังกฤษ ในช่วงนั้นผมจึงมีโอกาสเห็นพ่อและเพื่อนๆ แต่งตัวแบบการเล่นกีฬาลักษณะนี้ของคนอังกฤษ ซึ่งมักพบในภาพเขียนภาพถ่ายที่พิมพ์ออกโฆษณาด้วย เช่นสวมกางเกงขายาวซึ่งขอบขาทั้งสองข้างรวบไว้เพียงค่อนน่อง สวมถุงเท้ายาว ขอบทับกับปลายขากางเกงถึงรองเท้า และสวมหมวกแก็ปแบบอังกฤษ
สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้ แม้ตัวเองจะไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็มีโอกาสตามไปดูพ่อ 2 – 3 ครั้ง ซึ่งจะใช้ช่วงเวลาที่แสงแดดเริ่มออกอ่อนๆในตอนเช้า โดยที่ในขณะนั้นนิยมออกไปล่านกปากซ่อมกันในบริเวณอำเภอพระโขนง เนื่องจากยังมีสภาพเป็นทุ่งนาที่กว้างใหญ่มาก จึงนำมาเล่าไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ทราบ ประกอบกับเรื่องราวต่างๆกำลังจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของผมที่ออกไปสัมผัสป่า โดยด้านหนึ่งมีปืนเข้าไปสัมพันธ์ใกล้ชิดพอสมควร จึงได้นำเอาเรื่องดังกล่าวมาปูไว้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นฐาน
ชีวิตเด็กเมืองกรุงที่สนใจเข้าป่าหากล้วยไม้
ผมคิดว่า จากสภาพของเด็กเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งพ่อฝึกฝนให้เผชิญกับความยากลำบากมาอย่างโชกโชนพอสมควรแล้ว เมื่อมาถึงช่วงนี้ อันเป็นช่วงซึ่งตนเองกำลังจะผ่านพ้นการศึกษาระดับมัธยมบริบูรณ์ ประมาณวัยได้ 15 – 16 ขวบ ตนเองมีความพร้อมด้วยความแข็งแกร่งของชีวิต กับความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักคิดนักต่อสู้ ทำให้รู้สึกท้าทายไปเสียทุกอย่าง ซึ่งเมื่อมองไปข้างหน้าแล้ว มันไม่ใช่ภาพเพียงการเดินตามกระแสเก่าๆอันจะนำมาได้ก็เพียงความสะดวกสบายกับการที่ไม่ต้องคิดแก้ปัญหาใดๆทั้งสิ้น
ในช่วงนั้น พ่อผมทำงานเป็นเจ้าพนักงานตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัด ทั้งในร้านที่จำหน่ายเครื่อง ชั่งและในร้านที่มีเครื่องไว้ชั่งตวงวัดหน่วยสินค้าที่นำมาจำหน่ายแก่ประชาชน ซึ่งจะต้องเดินทางออกตรวจร้านค้าในจังหวัดต่างๆ เป็นครั้งคราว จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงที่ผมกำลังจะปิดภาคการศึกษาภาคฤดูร้อน ผมได้ยินพ่อเอ่ยปากขึ้นว่า “ฉันจะออกไปตรวจงานในจังหวัดภาคอีสาน และจะเอาแกไปด้วย”
ผมทราบจากที่พ่อเล่าให้ฟังว่า การเดินทางไปจังหวัดต่างๆในขณะนั้น ทางภาคอีสานสามารถเดินทางไปได้เพียงทางเดียวคือโดยทางรถไฟ และถึงได้เพียงจุดซึ่งเป็นชุมทางใหญ่ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปภาคอีสานหากต้องการไปยังอำเภอต่างๆในรายละเอียด คงมีเพียงสองทางเท่านั้นคือ นั่งเกวียนหรือไม่ก็เดินเท้า โดยที่จากอำเภอหนึ่งไปถึงอีกอำเภอหนึ่งจำเป็นต้องรอนแรมไปในป่า
ฟังแล้วทำให้ผมมีทั้งความดีใจและตื่นเต้นเอามากๆ จากความรู้สึกสองประการด้วยกันคือ มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียวเพราะนับเป็นครั้งแรกที่ชีวิตตัวเองจะได้มีโอกาสเข้าป่า กับอีกสิ่งหนึ่งคือ จากจินตนาการที่เคยมีมาแล้วกับกล้วยไม้ โดยมีความรู้สึกกระหายที่จะได้พบภาพชีวิตอันงดงามของกล้วยไม้ป่าซึ่งขึ้นและออกดอกอยู่ตามธรรมชาติ ทำให้หวังไว้ว่าในครั้งนี้ผมคงจะได้คำตอบจากข้อสงสัยในหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งตนเองมีอยู่ในใจมาแล้วเป็นเวลานานพอสมควร
อนึ่ง การไปงานราชการสมัยนั้น กฎ ระเบียบ ดูมันช่างสอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงมากพอสมควร กล่าวคือหากต้องเข้าป่า ทางราชการจะจ่ายกระสุนปืนให้ส่วนหนึ่ง เพื่อหาอาหารป่ากินเอาเองและใช้เป็นสิ่งป้องกันตัวไปด้วยในที แต่ผู้เบิกกระสุนจะต้องมีปืนเป็นของส่วนตัว ซึ่งตามกฎระเบียบข้อนี้ พ่อผมสามารถเบิกกระสุนลูกซองได้จำนวนหนึ่ง ส่วนปืนอัดลมคงเป็นเรื่องส่วนตัวของเราทั้งปืนและกระสุน นอกจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ร่วมงานกับพ่ออีกสองคน ซึ่งคนหนึ่งมีปืนพกสั้นติดตัวไปด้วย ผมได้กล่าวย้ำไว้แล้วว่า ขณะนั้นตัวเองยังไม่เคยมีความรู้และประสบการณ์เรื่องกล้วยไม้เลย แถมยังหาจากใครๆก็ไม่ได้อีกด้วย คงมีแต่ภาพจำเจที่มองเห็นกล้วยไม้ป่าไม่กี่ต้นอยู่ในกระเช้าไม้สัก 5 – 6 กระเช้าซึ่งแขวนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบริเวณหน้าเรือนไม้ชั้นเดียวอันเป็นที่อยู่อาศัย ผมจำเป็นต้องเดินผ่านไปมาและรดน้ำให้เป็นประจำด้วยความรักความสนใจวันแล้ววันเล่า แต่ต่อมาภายหลังก็คิดได้ว่า ความจำเจที่กล่าวถึงนี้หากไม่ใช่เป็นสิ่งที่เลื่อนลอย แต่มันมีความรักความสนใจอยู่ในรากฐาน แทนที่จะนำไปสู่ความรู้สึกชินชาและเบื่อหน่าย กลับยิ่งกระตุ้นให้เกิดความดิ้นรนขวนขวายเพื่อต้องการรู้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ายังขาดอยู่ใช่หรือไม่
จนกระทั่งหลังจากได้ทราบว่าพ่อจะเดินทางเข้าป่าภาคอีสานและต้องการเอาผมไปด้วย จากนั้นมาไม่กี่วัน เมื่อมีผู้คนที่เคยรู้จักทราบเรื่องนี้มากขึ้น ก็ได้ยินเสียงกล่าวมาเข้าหูว่า “เข้าป่าภาคอีสานโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไปทางจังหวัดบุรีรัมย์ ก็อย่าลืมหาเอื้องกุหลาบนางรองมาให้ได้นะ เพราะเขาว่ากันว่ามันสวยนักสวยหนาทีเดียวแหละ” ฟังแล้วดูยิ่งทำให้ใฝ่ฝันมากขึ้นทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมันก็เป็นความใฝ่ฝันที่เลื่อนลอยพอสมควร เพราะตัวเองยังไม่เคยรู้จักเลยว่าเอื้องกุหลาบนางรองที่ว่านั้นมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น แม้หากได้ตอบคำถามว่ากล้วยไม้คืออะไรก็คงยังตอบไม่ได้นอกจากเพียงภาพผิวเผินซึ่งเข้าใจว่ากล้วยไม้เป็นต้นไม้ใหญ่ กับภาพความรู้สึกธรรมดา โดยสัญชาติญาณก็คงบอกได้บ้างไม่ได้บ้าง และออกจะค่อนข้างแน่นอนเอามากๆ คนซึ่งบอกว่าตัวเองรู้ แต่จริงๆแล้วก็ยึดติดอยู่แต่กับตำรา ย่อมฟังภาษาที่กล่าวถึงแล้วรับ ไม่ได้
แม้ว่าระหว่างการเดินทางครั้งนั้นจะเป็นช่วงซึ่งโรงเรียนทั่วๆ ไปกำลังปิดภาคการศึกษาครั้งใหญ่ ซึ่งหมายถึงว่าเป็นช่วงฤดูร้อนและแห้งแล้งภายในรอบของแต่ละปี แต่ขณะนั้นธรรมชาติของอีสาน โดยเฉพาะในอีสานใต้ซึ่งการเดินทางครั้งนั้นได้นำผมมุ่งเข้าไปสัมผัสกับสภาพที่เป็นจริง ก็หาใช่ว่าจะแล้งแสนสาหัสอย่างปัจจุบันไม่ แม้ปลายเดือนเมษายนก็เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว
ดังจะพบกับบรรยากาศซึ่งนำมาเล่าให้ฟังตลอดช่วงของการเดินทางซึ่งได้เห็นคนไถนา หว่านกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งซึ่งสามารถยืนยันถึงสัจธรรมได้อย่างชัดเจนคือ ชีวิตของสัตว์ตามธรรมชาติที่ออกหากินในช่วงฤดูฝน ปรากฎเป็นภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
คณะของเราซึ่งรวมทั้งผมด้วยเป็น 4 คน ได้จับขบวนรถไฟมุ่งออกจากกรุงเทพฯ สู่อีสานใต้ โดยมีจุดหมายปลายทางที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ขบวนรถไฟไปถึงที่นั่นค่ำมาก พ่อผมมีเพื่อนร่วมโรงเรียนเป็นนายอำเภออยู่ที่นั่น ค่ำวันนั้นคณะของเราได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้านนายอำเภอ และอาศัยพักค้างคืนที่บ้านไม้ของทางราชการหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน โดยเอาเตียงผ้าใบและมุ้งกางนอนกันที่ระเบียงเรือนพัก เพราะรู้สึกสบายกว่านอนในห้อง