การอนุรักษ์ธรรมชาติ ยอดเผด็จการของไทย

ธรรมชาติซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ น่าจะได้แก่ “ป่าไม้”ทุกชีวิตที่เกิดมาสู่โลกใบนี้ ย่อมมาจากป่าทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงถือว่า “ป่า คือผู้ให้กำเนิดแก่ชีวิตเราเอง”

เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรใช้อำนาจจากคนกลุ่มเดียวที่มุ่งไปอนุรักษ์ป่า แต่ควรทำตัวให้ดีโดยอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานความรักความสามัคคีอย่างมีความสุข ไม่ว่าชีวิตเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ย่อมทำให้ป่าอยู่ได้อย่างยั่งยืน แทนที่จะมาสร้างความขัดแย้งระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การแตกความสามัคคี ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ย่อมทำให้ไม่อาจรักษาป่าให้อยู่ได้เช่นเดียวกับ พ่อแม่ที่มีลูกหลายคน ถ้าลูกเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันและคนโตถืออำนาจบาตรใหญ่เอาแต่กล่าวหาคนรุ่นน้องฝ่ายเดียว พ่อแม่ก็จะไม่มีความสุขและไม่อาจรักษาครอบครัวให้มั่นคงอยู่ได้

ทุกวันนี้ป่าถูกมนุษย์ทำลาย แม้แต่การรักษาป่าเราก็ใช้วิธีเผด็จการอย่างสุดๆ แล้วแต่ว่าใครจะมีโอกาสถืออำนาจ การนำปฏิบัติของกลุ่มผู้มีอำนาจที่ปรากฏออกมา มันก็คล้ายๆ กันกับการคิดว่า “กูคนเดียวเท่านั้นที่จะรักษาป่า”ส่วนคนอื่นไม่เกี่ยวข้อง หากใครคิดจะใช้ชีวิตอยู่ในป่า เพื่อโอกาสการเรียนรู้แล้ว แทนที่จะเกิดการยอมรับ กลับถูกข้อหาว่าบุคคลกลุ่มนั้นคิดทำลายป่า แล้วก็ใช้อำนาจจับกุมมาลงโทษเช่นนี้เป็นต้น

ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมันเกิดมานานแล้ว จนกระทั่งมาถึงช่วงที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตยจ๋า”แต่มันก็เหมือนกับ “ปากว่าตาขยิบ”เพราะกรมงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลป่าและตัวเองก็ดูอยู่แต่ข้างนอก หาได้มองให้ลึกซึ้งถึงสิ่งที่อยู่ในรากฐานจิตใจมนุษย์ วิธีการรักษาป่าของคนกลุ่มนี้ คงมีแต่ทำลายเพื่อนมนุษย์และคงอ่านได้ว่า “กูคนเดียวเท่านั้นที่จะรักษาป่า ส่วนคนอื่น ถ้าใครแหลมเข้ามาก็มักถูกอำนาจจับกุม ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่น่าสงสารมากที่สุด เพราะคนประเภทนี้มีแต่การสร้างกรรม หาใช่หยั่งรู้ความจริงถึงบุญและกรรมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่แผ่นดินไม่”

หลักธรรมท่านก็สอนเอาไว้ว่า “จงอยู่อย่างเอาใจเขาใส่ใจเรา”แต่คนกลุ่มนี้กลับอยู่อย่างเอาใจกูคนเดียว ที่พูดมานี้ไม่ใช่พูดเรื่อยเปื่อย แต่เพราะแลเห็นความจริงมานานแล้ว

ซึ่งครั้งหนึ่งเคยไปประชุมที่กระทรวงทรัพยากร แล้วตัวฉันเองก็ได้พูดติงเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้ในขณะที่มีพระสงฆ์เข้าไปตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นในป่า แต่ผลที่ปรากฏมันไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่กลุ่มบุคคลมือเปล่าที่ไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้น

วิธีการดังได้กล่าวมาแล้ว ทำให้คนที่ตั้งใจดีรู้สึกเสียกำลังใจมาตลอดทีละคนสองคน เสมือนไล่คนดีออกจากสังคม

องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีกระแสพระราชดำรัสเตือนประชาชนโดยเฉพาะข้าราชการว่า “ที่ไหนที่ประชาชนเขาทำมาหากินกันอยู่แล้ว ขออย่าได้ไปรังแกเขา”กับอีกประการหนึ่งที่พระองค์ท่านได้ตรัสฝากเอาไว้ ด้วยความห่วงใยประชาชนคนที่ใช้ชีวิตยากไร้อยู่กับพื้นดิน ท่านได้รับสั่งฝากไว้ว่า “ข้าราชการ ถ้ามีอำนาจและต้องการทำงานส่วนตัวเพื่อหาประโยชน์ ขอให้ลาออกจากราชการเสียก่อน”

อนึ่ง ไม่ว่าคนสายเลือดไหนก็ตามที่เข้ามาฝากเนื้อฝากตัวและดำรงชีวิตอยู่ในเมืองไทย ขอให้ทุกคนคิดว่า “เขาก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น”ถ้าใครได้อ่านบทความเรื่อง “ปกากะญอที่รัก”ซึ่งฉันได้เขียนเอาไว้ให้ทุกคนได้อ่าน ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนและทำอะไรก็ขอให้ถือว่า เขาเป็นคนไทย

สถาบันอาศรมศิลป์ได้เคยไปสร้างเครือข่ายการศึกษาทางเลือกอยู่ที่หมู่บ้าน “ปกากะญอ”ในบริเวณสะเมิงใต้ วันนั้นฉันได้เดินทางตามไปด้วย ปรากฏว่าตัวเองได้รับพฤติกรรมที่ให้ความเคารพรักอย่างยิ่งจากบุคคลกลุ่มนี้ หรืออาจสรุปได้ว่า ถ้าเราทำดีมันก็ดีแก่ตัวเราเอง รวมทั้งดีแก่ทุกคนด้วย แต่ถ้าเราเอาแต่ใช้อำนาจและเสพติดอยู่ตรงนี้ นับวันก็จะมีแต่คนเกลียดขี้หน้าจนพูดกันไม่รู้เรื่อง ที่พูดมานี้เป็นความจริงที่ได้ทำมากับมืออยู่แล้ว

แผ่นดินผืนนี้เป็นถิ่นเกิดของคนไทย ทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของร่วมกันและเป็นผู้มุ่งมั่นการอนุรักษ์ร่วมกับการพัฒนาให้อยู่รอดปลอดภัย หาใช่ใครมาครองอยู่เพียงคนกลุ่มเดียวเท่านั้นไม่ แม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำลายป่า ถ้าฉันจะถามว่า “เมื่อกล่าวหาเขาแล้วทำไมไม่พัฒนาเขาให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษา อันควรถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”นอกจากนั้นแล้วยังคิดจะหาความผิดมาใส่ตัวพวกเขาอีกด้วย แล้วคนดีที่ไหนเขาจะอยากมาอยู่เมืองไทย ทั้งๆ ที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาแท้ๆ

เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้ทราบข่าวว่า “คุณหมอนิรันดร์  พิทักษ์วัชระ ที่เข้าไปช่วยเหลือคนกระเหรี่ยงหรือปกากะญอ ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิตและการศึกษากลับถูกภาครัฐทำร้าย กล่าวหาว่า ส่งเสริมให้ปกากะญอทำลายป่าไม้ ฉันฟังแล้วน่าเศร้าใจที่สุด เพราะการกล่าวหาแบบนี้นั้นมันเกิดจากคนกลุ่มเดียว แถมเป็นกลุ่มที่ถืออำนาจเสียด้วย ดังนั้นถ้าเราไม่เรียกว่า “คนมีอำนาจฉกฉวยโอกาสรังแกคนดีแล้ว จะเรียกว่าอะไร”

ตัวฉันเองก็เคยถูกกล่าวหามามากต่อมาก แม้ถูกกล่าวหาว่า ไม่มีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากระษัตริย์ก็เคยถูกกล่าวหามาแล้ว การถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ก็เคยถูกกล่าวหามาแล้ว ตัวฉันเองเคยถูกกล่าวหามาแล้วอย่างโชกโชน แต่ตัวฉันเองก็ต้องปล่อยไป เพราะคิดเสมอว่าคนเหล่านั้นคิดได้ไม่ถึงเราคงถือขันติธรรมเอาไว้ให้มั่นคง โดยไม่โต้ตอบอะไรทั้งสิ้น นอกจากใช้ศิลปะในการทำงานและปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติสักวันหนึ่งถ้าไม่เจ็บตัวก็คงคิดไม่ได้

การกล่าวหาคุณหมอนิรันดร์  พิทักษ์วัชระครั้งนี้ ยังมีการนำเอาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากล่าวหาด้วย ฉันเตือนให้ระวังเอาไว้ว่า “โทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั้น มันต้องเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด แต่กรณีแค่นี้แล้วกล่าวหาว่าหมิ่นมันไม่สมควร ถ้าจะให้ลึกลงไปว่าคนที่กล่าวหานั่นแหละหมิ่นและโปรดระวังตัวเอาไว้ด้วย ทั้งนี้เพราะการกล่าวหาแบบนี้มันเกิดจากฝ่ายเดียว หรืออาจกล่าวได้ว่าเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ดังนั้นการคิดบนพื้นฐานทิศทางเดียว และคิดจากอำนาจเผด็จการหรือคิดแบบเห็นแก่ตัว อนาคตมันก็จะพลิกกลับทำให้พลาดได้ง่าย

แล้วการกระทำที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่นั้น คงไม่มีใครเขาสงสาร คงมีแต่คนเขาสมน้ำหน้าเท่านั้น

กรณีแบบนี้ได้มีการนำปฏิบัติกันมานานแล้ว ดังนั้นการที่รู้ว่าป่าถูกทำลาย แทนที่จะมุ่งไปที่ชาวบ้านแล้วจับตัวมาลงโทษ เรียกว่าคนที่คิดแบบเห็นแก่ตัวหรือคิดแบบทิศทางเดียว ฉันเคยนำปฏิบัติบนพื้นฐานการคิดสองทางไว้ให้ดูกัน

ดังเช่นการพัฒนาที่อำเภอภูเรือ ที่ชาวบ้านตัดไม้ทำลายป่า ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ไล่จับกุมพวกเขา ฉันรู้สึกไม่พอใจที่ได้เห็นคนไทยด้วยกันเองคิดทำร้ายกัน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจมักใช้โอกาสมีอำนาจตัดสินรังแกชาวบ้าน

การที่ฉันทำงานที่ภูเรือก็เพื่อจะสอนให้คนไทยรู้ว่า การแก้ปัญหาแบบนี้เราไม่ต้องไปรังแกกันก็ได้ แถมยังมีแต่ผลในทางบวก ซึ่งตัวฉันเองจะต้องลงไปคลุกคลีอยู่ที่นั่นตลอดระยะเวลาถึง 4 –5 ปี นอกจากเกษตรกรที่เคยมีรายได้ ชาวบ้านเคยมีรายได้ในแต่ละปีหัวละ 3,000บาท แถมยังต้องหลบเลี่ยงการจับกุม หลังจากไปพัฒนาครั้งนั้นชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นถึงหัวละ 7 หมื่นกว่าบาทต่อปี และไม่เพียงเกษตรกรเท่านั้น แม้แต่คนขับรถสองแถวก็ได้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพราะตัวฉันเองคิดแบบบูรณาการในการพัฒนาซึ่งจับอย่างหนึ่งมันก็ถึงหมดทุกอย่าง

ฉันไปทำที่ภูเรือก็เพื่อให้ทุกคนได้คิดกัน แต่เหตุการณ์มันสอนให้รู้ว่า เรามีปัญหาเกี่ยวกับการศึกษา เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้เห็นลึกซึ้งถึงแก่นของความคิด นอกจากรู้สึกว่า ฉันไปพักอยู่ที่ภูเรือเป็นการถาวร แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ไปอาศัยเป็นที่ทำงานอยู่ที่นั่นเท่านั้นเอง

นี่แหละที่ฉันต้องหันมาจับการศึกษาทางเลือก และทำงานในเรื่องนี้อยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไร แม้แต่เรื่องการศึกษาก็เช่นกัน ถ้าคนยึดติดอยู่กับสถาบันการศึกษา เมื่อกล่าวถึงศาสนาก็ย่อมยึดติดอยู่กับวัดและพระสงฆ์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงประเพณีที่ใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น หาใช่ของจริงไม่ แต่ของจริงมันอยู่ที่ใจเราเองนี่แหละ

เราถูกปรามาสว่าเป็นคนลืมง่าย ทำไมจะไม่ลืมง่าย เพราะเราเป็นคนลืมตัว ทำอะไรก็มักลืมตัวโดยมุ่งไปที่เครื่องมือเครื่องใช้ แทนที่จะมุ่งกลับมาศึกษาจากของจริงเป็นสำคัญที่สุด

 

ระพี สาคริก

16 พฤษภาคม 2555

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *