การจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง…ใครได้ ใครเสีย?
ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 อยู่ ๆ ก็มีหนังสือเชิญมาจากกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ให้ไปร่วมเสวนาในเรื่อง “การจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง ใครได้ใครเสีย”
ความจริงแล้ว คำถามแบบนี้ฉันคิดว่าคนไทยทุกคนน่าจะรู้ดีมานานแล้ว แทนที่จะหลงปิดตัวเองอยู่ที่รั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติ ครั้นเกิดปัญหานี้ขึ้น ฉันจึงกล้าเกล่าอย่างมั่นใจได้ว่า “ปัญหาในเรื่องนี้มันก็อยู่ที่คนคิดจัดการในเรื่องนี้นั่นเอง
เหตุใดฉันจึงเชื่อว่าปัญหานี้เราควรรู้ดีกันมานานแล้ว แม้แต่เรื่องเสื้อเหลืองเสื้อแดงซึ่งนำไปสู่ภาวการณ์นองเลือด ก็เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าบ้านเมืองของเรานั้นมันมีความหมายแค่ไหน ครั้นมาเกิดประเด็นนี้ขึ้น ฉันก็เลยหายสงสัยเลยว่า “คนไทย ยิ่งเป็นคนเรียนมาสูง ๆ ภายในสถาบันการศึกษาซึ่งเปรียบเหมือนคุกขังความคิดคนให้คับแคบ แล้วเราจะมาบ่นว่าชนรุ่นหลังไม่รักแผ่นดินถิ่นเกิดได้ยังไงกัน”
อนึ่ง ฉันขอบอกตามตรงว่าตัวเองขณะนี้มีอายุกำลังจะเข้า 90 ปีแล้ว แต่ก็ยังมุ่งมั่นลงไปทำงานในชนบท เพื่อให้คนในระดับล่างรู้เท่าทันต่อสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งความจริงแบบนี้เราจะต้องปรับใจให้เปิดกว้าง แทนที่จะคิดแบบเห็นแก่ตัว มัวเมาอยู่กับสิ่งซึ่งเป็นเพียงรูปวัตถุแบบหนึ่ง
แม้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชท่านก็ยังเสด็จออกไปจากรั้ววัง ไปสร้างคุณงามความดีอยู่ในแวดวงชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นแล้วเวลาศึกสงครามพระองค์ท่านจะได้รี้พลเป็นเรือนแสนมาช่วยเสริมกองทัพได้ยังไง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ท่านก็ทรงงาน โดยมุ่งมั่นลงไปเรียนรู้ทุกข์สุขของประชาชน แต่ขณะนี้ผู้บริหารประเทศทุกระดับ ซึ่งควรจะลงไปปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชน โดยลงไปศึกษาหาความรู้จากชาวบ้านมิฉะนั้นแล้วเราจะต้องสูญเสียแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเราเอง เพราะการนองเลือดครั้งที่แล้ว สาเหตุสำคัญมันก็มาจากเหตุอันเดียวกัน หรือว่ามันยังไม่สะใจ
ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่หลักธรรมประจำใจ แม้แต่เครื่องหมายของกระทรวงยุติธรรมก็ยังใช้รูปตาชั่ง ซึ่งหมายความว่า “เมื่อด้านหนึ่งขึ้น อีกด้านหนึ่งก็ควรลง”เพราะฉะนั้นอย่าถือดีว่าตัวเองเรียนรู้มาแล้ว เพราะการเรียนรู้สัจธรรมของชีวิต ตัวเราเองนั่นแหละเมื่อขึ้นไปยืนอยู่ที่สูง จิตวิญญาณก็ควรลงมาสู่ด้านล่าง ไม่เช่นนั้นเราจะร้องกันว่า “คุณธรรมหายไปไหน”
ฉันคงไม่พูดมากไปกว่านี้ เพราะคิดว่าเราเจ็บตัวกันมาพอแล้ว เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ครั้งก่อน ๆ มันควรจะเตือนสติได้แล้วหรือยัง ฉันขอบอกตามตรงว่า “นอกรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัยนั่นแหละคือโรงเรียนที่แท้จริง”ส่วนข้างในมันเป็นเพียงความรู้ที่ขังตัวเองอยู่ในบริเวณแคบ ๆ สรุปแล้ว “แผ่นดินไทย”ก็คือครูที่สำคัญที่สุดซึ่งสอนให้เรารู้ว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่นมันอยู่ที่นี่”
ฉันขออนุญาตนำเอาชีวิตจริงของตัวเองออกมาเปิดเผยให้ทุกคนมีโอกาสศึกษาหาความรู้ ย้อนกลับไปหาช่วงการเวลาที่ผ่านพ้นมา ขณะที่ฉันดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในยามว่างซึ่งฉันรู้มาก่อนหน้านั้นแล้วว่า “ยามว่างนั่นแหละคือการไม่ปล่อยตัวให้อยู่ว่าง ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะโง่ไปจนตาย”
ฉันมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในขณะนี้ ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์อยู่ในเมืองไทยเท่านั้น แต่มีลูกศิษย์ทั่วโลกที่เขาให้ความเคารพนับถือ ฉันเอาเวลาทำงานไปอยู่ใกล้ชิดอยู่กับคนชนบท ยิ่งห่างเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้เท่านั้น ในปัจจุบันมีลูกศิษย์ที่เข้าไปรับตำแหน่งไม่เพียงแต่อธิบดีเท่านั้น แม้แต่รัฐมนตรีบางคนก็เช่นกัน “ฉันสอนลูกศิษย์จากการปฏิบัติจริง”หลายคนคงจำได้ว่าอธิการบดีคนนี้หลายคนคงรู้จัก “ยิ่งลงไปทำงานอยู่บนพื้นดินใกล้ชิดเท่าไรปัญญาก็ยิ่งเกิดลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น”ทั้งนี้เพราะภายในส่วนลึกของจิตใจฉัน ฉันมีจิตใต้สำนึกที่ระลึกอยู่เสมอว่า “แผ่นดินผืนนี้คือโรงเรียนหลังใหญ่ ซึ่งคนไทยทุกคนควรจะศึกษาให้ถึงปรัชญา หาใช่ถอยมานั่งกันอยู่แต่ในสิ่งก่อสร้างที่คนอื่นเขาทำไว้ให้เราพักอาศัยแค่นั้น”ถ้าใครมีรากฐานจิตใจที่ลึกซึ้งถึงระดับนี้แล้ว ฉันเชื่อว่าเมืองไทยจะดียิ่งขึ้นกว่านี้อีกมาก แทนที่จะเกิดคนที่ชีวิตอยู่อย่างหนักแผ่นดินเช่นทุกวันนี้ ซึ่งทุกคนควรจะแลเห็นกันได้แล้ว
หลังจากฉันได้รับหนังสือว่าตัวเองต้องถูกขังในวัตถุแคบ ๆ แล้วมานั่งรวมหัวกันคิด อยู่ภายในภาชนะใบนี้ ฉันรู้สึกตัวแล้วว่าถ้าเราขืนทำไปก็คงโง่ตายในที่สุด ดังเช่นทุกวันนี้ประชาชนคนทั่วไปคงแลเห็นความจริงกันได้เองว่า มีผู้บริหารซักกี่คนที่ยอมสละชีวิตของความสะดวกสบายลงมาเรียนรู้ปัญหาในระดับพื้นดิน ถ้าเราขืนนำตัวเข้าไปอยู่ตรงนี้ ฉันคิดว่าทุกคนมีทางเลือกที่จะทำได้ “นั่นก็คือเอาเวลาออกไปศึกษาหาความรู้จากการนำปฏิบัติร่วมกับคนชนบทยังดีเสียกว่า”
อนึ่ง ฉันต้องขอกราบเท้าทุกคน หากพูดอะไรแรงเกินไป แต่ความจริงแล้วความเบาความแรงมันไม่ใช่ความแรงที่แท้จริง หากเป็นศิลปะในการปฏิบัติเท่านั้น เพราะตัวฉันเองไม่เคยเอาเรื่องพันอย่างนี้เข้าไปใส่ใจให้มันมีอิทธิพล กลบทับคุณงามความดีภายในใจตนเอง แต่ฉันนำปฏิบัติแล้วมีความสุข “ถ้าไม่มีความสุขก็คงอาจอยู่มาจนกระทั่งอายุจะ 90 ปีแล้ว”
ฉันกราบเท้าเธอนะขอให้เลิกคิดกันได้ หากเอาเวลาลงไปทำงานบนพื้นดิน ซึ่งเป็นถิ่นเกิดถิ่นตายของตนเองกันน่าจะทำให้สังคมนี้ดีกว่าที่แล้วมา
ฉันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อประมาณร่วม 50 ปีมาแล้ว เย็นวันนั้นซึ่งเป็นวันเทศกาลขึ้นปีใหม่ของศาสนาอย่างหนึ่ง ในวันนั้นมีการร่วมชุมนุมกันเป็นการภายในที่กำแพงแสน และคนกลุ่มนั้นก็ได้มาเชิญให้ฉันไปพูดเพื่อประเทืองปัญญาแก่เขาทั้งหลาย
อนึ่ง ในช่วงนั้นผลการบริหารงานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่า ช่วยให้ทุกคนมีความสุข เย็นวันนั้นฉันได้พูดกลางที่ประชุมว่า “ช่วงที่ฉันเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยอยู่นั้น มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีรั้ว”เธอเชื่อไหมว่าฟังกันแล้วเกิดคำถามซึ่งไม่เชิงเป็นคำถาม แต่เป็นคำปรารภที่ลุกขึ้นมากล่าวว่า “อ๋อ!ในขณะที่ท่านอาจารย์เป็นผู้บริหารอยู่นั้น มหาวิทยาลัยยังทำรั้วไม่เป็นใช่หรือเปล่า?”
ฉันฟังแล้วรู้สึกตลกขบขัน แต่มันตลกที่ไม่ตลก เพราะฉันพูดถึงรากฐานจิตใจตัวเองที่มันอิสระ เพราะเหตุว่าตัวฉันเองนำลูกศิษย์ลูกหาออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปทำงานร่วมกับชาวบ้านอยู่ตามริมฝั่งโขงในภาคอีสาน นี่แหละที่ลูกศิษย์เขาเรียกฉันว่า “คุณพ่อ”และสัจธรรมบทนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันอย่างกว้างขวางสำหรับคนที่มีอุดมการณ์ เพราะต้องการจะเห็นบ้านเมืองมันดียิ่งกว่านี้
ฉันขออนุญาตนำเอาตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งมากล่าว โปรดอย่าคิดว่าฉันคิดมุ่งร้ายกับใครต่อใครในรัฐสภา ทั้งนี้เพราะฉันให้ความเคารพรัก แต่ฉันเคารพรักเพราะเป็นเพื่อนมนุษย์ทุกคน หากเคารพรักเพราะเป็นสมาชิกวุฒิสภา
มีอยู่ช่วงหนึ่งฉันออกไปทำงานฟันดินแบกปุ๋ยกับชาวบ้านบนพื้นดินที่จังหวัดเลย จนกระทั่งคนส่วนใหญ่คิดว่าฉันไปมีบ้านเรือนตากอากาศอยู่ที่นั่น หากตัวเองต้องการลงไปศึกษาหาความรู้จากเขาทั้งหลาย
ในวันนั้นเป็นวันหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในขณะที่ฉันฟันดินอยู่กับชาวบ้าน ฉันได้ยินเสียงแม่บ้านคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ทีวันนี้ลงมาขอเสียง แต่พอได้รับเลือกตั้งแล้วหายหัว” นี่คือความจริงซึ่งฉันมีโอกาสได้ยินมาด้วยตัวเอง “ฉันขอกราบเท้าทุกคน หากใครคิดว่าฉันพูดด้วยความประสงค์ร้าย”แต่ฉันพูดความจริงเพราะฉันมีใจที่ประสงค์ดีกับทุกคนรวมทั้งบ้านเมืองที่มันกำลังจะไปไม่รอดอยู่แล้ว
ขณะนี้ฉันมีอายุมากยิ่งขึ้น แต่ก็ทนไม่ได้ในเมื่อเห็นว่าบ้านเมืองมันกำลังเกิดปัญหาหนักมากยิ่งขึ้นแทบทุกหัวระแหง จากช่วงเวลาที่ผ่านพ้นมาไม่กี่เดือน หลังจากเกิดเหตุการณ์นองเลือด ฉันได้ลงไปทำงานร่วมกับชาวบ้านอยู่บนพื้นดินในชนบทมารอบหนึ่งแล้ว หนึ่งรอบหมายถึงทุกภาคของแผ่นดินผืนนี้ ยิ่งรู้ว่าที่ไหนมีปัญหาหนักฉันก็ยิ่งมุ่งไปที่นั่นก่อน เพราะรู้สึกเห็นใจคนชนบท ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของบ้านเมืองรวมทั้งเป็นญาติมิตรของตัวเองด้วย
ความจริงลักษณะนี้ หาใช่มัวมานั่งถามกันว่า “ใครได้ใครเสีย”แต่ควรสำนึกได้แล้วว่าทุกคนต้องนำปฏิบัติ ถ้าเราคิดจะหล่อหลอมทุกคนที่เป็นคนไทย มีจิตใต้สำนึกรักแผ่นดินถิ่นเกิด ถิ่นดำรงชีวิตและถิ่นตายของตนเอง โดยเฉพาะการนำปฏิบัติของผู้ใหญ่ที่มีวิญญาณความเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งเป็นครูบาร์อาจารย์ ควรลงมือทำให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่าง ซึ่งอาจเรียกว่า “หล่อหลอมกันมาตั้งแต่เด็ก”โปรดอย่าคิดว่าทำไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่การทำไม่ได้ หากไม่อยากทำมากกว่าใช่หรือเปล่า
อนึ่ง ฉันขอชมเชยชนรุ่นใหม่ที่ร่วมใจกันจัดทำงานแบบนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น แม้แต่การรวมตัวของกลุ่ม “อิ๊กไนท์ไทยแลน”เพราะเขามาเชิญให้ฉันไปร่วม แล้วตัวฉันเองก็ไปร่วมจริง ๆ เพราะถือเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่ควรจะทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการศึกษาที่ดี เพราะถือเป็นความหวังของบ้านเมืองเราอย่างเร่งด่วน ซึ่งเราจะมามัวนั่งพูดกันแบบนี้คงไม่ได้
อนึ่ง เรื่องพันยังงี้คงไม่จำเป็นต้องมาจัดเสวนา หรือสัมมนา อะไรต่อมิอะไร ขอให้ลงมือทำกันจริง ๆ จากใจเป็นพอแล้ว
คำว่าพอเพียงนั้นหมายความว่า เราต้องช่วยกันมีส่วนร่วมทำอย่างจริงจัง ส่วนการคิดอยากได้อะไรต่อมิอะไรจากคนอื่นนั้น เราพอกันได้หรือยัง เพียงได้ก็ย่อมพอได้ “ยิ่งให้ก็ยิ่งได้”ข้อความที่ว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งได้นั้นถ้ากลับทิศทางเสียใหม่ เราจะเข้าใจได้เองว่า การให้ก็คือการเปิดใจให้กว้างเพื่อให้ใจกับทุกคน ส่วนการได้ก็คือได้บุญกุศลซึ่งทำให้เรามีสุขภาพทั้งกายทั้งจิตดีสมความปรารถนา เพราะได้รับแล้วมีความสุข แต่ถ้าอยากได้บุญกุศลเมื่อไหร่สิ่งที่ได้มาแล้วมันก็พังหมดทั้งชีวิต
9 กุมภาพันธ์ 2554