หอมกลิ่นกล้วยไม้ : ประวัติชีวิตของระพี สาคริก

วิหกเอ๋ย     เจ้าจะเลย   ท่องเที่ยวบิน  ไปถิ่นไหน

วิหกไพร   ต้องหากิน  ถิ่นแถวป่า  พนาวัน

เจ้าทิ้งถิ่น เที่ยวบินร่อน พักผ่อนกาย มาหลายวัน

ท้องลำธาร ละหารใส ช่างเหงาใจ ไร้คู่เคียง

เพียงแต่เจ้า เศร้าในใจ ใครไม่รู้

เป็นคู่คู่ ดูนกอื่น ช่างขื่นขม

มองดูแล้ว  ดูเหมือนเจ้า  เฝ้าตรอมตรม

คงระทม เหมือนตัวเรา เศร้าไม่วาย

อกเราเอ๋ย ช่างไม่เคย สุขหัวใจ ให้รู้หาย

รักกลับกลาย  ดั่งสายชล ที่วนเปลี่ยน ทุกเวลา

ช่างหว้าเหว่  ด้วยเร่ร่อน  ร้อนรุมกาย  หลายเวลา

รักร้างลา  ไม่มาหลัง  ช่างเหงาใจ  ไร้คู่เคียง

ร้อยกรองบทนี้ เพื่อนรักคนหนึ่งของฉันที่ชื่อ“ระดม เศรษฐีธร”ร่วมกับตัวฉันเอง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2483 ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคการศึกษาภาคปลายของแม่โจ้รวม 3 เดือน ทำให้ที่นั้นไม่มีชีวิตคนจะอยู่แม้แต่หมาตัวเดียว   ถ้าอยู่มันก็ต้องอดตาย  เราทั้งสองคนเป็นนักไวโอลินด้วยกันทั้งคู่ แถมมีหัวอกเดียวกันเพราะมีแม่เลี้ยงที่คอยกดดันหัวใจจนกระทั่งไม่อยากกลับบ้าน สู้ทนต่อสภาพความร้อนระอุของแผ่นดินซึ่งเต็มไปด้วยภูเขา เสมือนยืนอยู่ท่ามกลางกระทะทองแดงใบใหญ่เพราะกระแสลมที่มันพัดมาโดยรอบนั้นได้นำเอาความร้อนเอามาหาตัวเราอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนั้นทั้งน้ำทั้งไฟจะไม่มีใช้แล้ว  เวลากลางวันยังต้องออกไปไล่ล่าแหย่มากินเป็นอาหาร  แต่เราก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

คืนวันนั้น  เรานั่งอยู่ท่ามกลางแสงเดือนที่ส่องสว่าง ทำให้มองเห็นเงาดำของภูเขาใหญ่น้อยซึ่งถูกประดับเอาไว้ด้วยแสงจากเปลวไฟไหม้ป่าเป็นทิวแถวอยู่ลิบๆ และเพลง “วิหกไพร” มันก็ได้บำบัดขึ้นมาจากหัวใจเราเองอย่างสุดซึ้งท่ามกลางความเงียบสงัดของบรรยากาศธรรมชาติ แม้บางครั้งจะมีเสียงหริ่งร้องของเรไรรวมทั้งเสียงนกในเวลากลางคืนดังมาจากไกลๆ เป็นช่วงๆ นอกจากนั้นยังมีเสียงซึงรวมทั้งเสียงซอจากชาวบ้านที่คลุกเคล้าไปกับเสียงล้อเกวียนและกระดึงที่ผูกคอวัว  แต่เราก็อยู่อย่างมีความสุขดีกว่าอยู่ในเมืองกรุงเทพฯของผู้คนอย่างหลากหลาย

มาถึงวันนี้เป็นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งตัวฉันเองมีอายุย่างเข้า 89ปีแล้ว  ครั้นหวนกลับไปนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านพ้นมาจนกระทั่งเริ่มต้นจากปี พ.ศ. 2490

จากนั้นมาแล้ว ฉันก็รู้สึกเบื่อเต็มทีที่มีผู้คนมองหน้าฉันแล้วบอกว่า “ท่านอาจารย์ยังทำกล้วยไม้อยู่รึเปล่า”ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเดินไปไหน หูก็มักได้ยินเสียงผู้คนกระซิบกันว่า “นั่นยังไงอาจารย์กล้วยไม้”

ฉันได้ยินแล้วอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเอง ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่า ฉันรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าตนไม่ได้มุ่งมั่นทำเรื่องกล้วยไม้สักหน่อย แต่ภายในหัวใจนั้นยังมีความวิริยะอุสาหะอย่างที่สุดที่จะนำปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่ชอบธรรมรวมทั้งความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ซึ่งอยู่ด้านล่างของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คนกลุ่มหนึ่งในยุคนั้น เพราะตัวเองมีโอกาสเหนือกว่าคนอื่น แถมยังมีเงินมีทองมากกว่ามาก มีพฤติกรรมดูถูกคนที่มีเงินน้อยรวมทั้งเยาวชน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เคยเป็นเด็กมาก่อน แต่ยังขาดจิตใต้สำนึกที่รำลึกถึงอดีต

เพียงแต่บังเอิญในช่วงนั้นเอากล้วยไม้มาเป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว ซึ่งตัวฉันเองก็หยั่งรู้ความจริงได้ว่า “ลงได้เอากล้วยไม้มาใช้เป็นเครื่องมือ ภายในสันดานของมนุษย์ก็ย่อมนำสิ่งอื่นมาใช้เป็นเครื่องมือได้ด้วย”

นี่แหละคือแรงบันดาลใจทำให้ฉันตั้งปณิธานเอาไว้นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาและจะต่อสู้อย่างถึงที่สุด

อีกประการหนึ่ง  ขณะที่ฉันก้าวเข้ามาจับเรื่องกล้วยไม้เป็นจุดเริ่มต้น ก็ยังมีผู้ใหญ่หลายคนพูดว่า “ไปทำทำไมเรื่องกล้วยไม้ เพราะมันกินไม่ได้”ประเด็นนี้ก็อีกเช่นกัน ผลกระทบที่ได้รับจากคำพูดดังกล่าว มันทำให้ฉันหวนกลับไปมองอีกด้านหนึ่งทำให้รู้ความจริงได้ว่า เพราะคนในสังคมคิดแต่เรื่องของกินได้  ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่บริโภคเข้าไปทางปาก มิน่าล่ะจากกาลเวลาที่มันผ่านพ้นมาจนถึงบัดนี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยที่กินโดยไม่รู้จักพอ แม้แต่การเอาสิ่งที่มันไม่ใช่ของตัวเองมากินเข้าไปคอร์รัปชั่นมันถึงได้แทรกซึมอยู่จนกระทั่งเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

นี่แหละ สิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด แม้จะไม่ยาวมากนักแต่ก็มีความชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไรที่มันทำให้เกิดแรงบันดาลใจลงรากฝังลึกจากวันนั้นมาถึงวันนี้ซึ่งตัวฉันเองก็ยังคงยืนมั่นอยู่กับสัจธรรมที่ได้ตั้งต้นมาแล้วตั้งแต่บัดนั้น

ฉันตั้งใจไว้ตั้งแต่บัดนั้นแล้วว่าตัวเองจะทำกล้วยไม้ซึ่งครั้งหนึ่งพวกผู้รากมากดีมีเงินมีทองเขาใช้เล่น แถมยังเอามาดูถูกชาวบ้าน รวมทั้งเด็กว่าเป็นคนชั้นต่ำจับเล่นไม่ได้

จากวันนั้นเป็นต้นมา  แม้ชีวิตฉันจะผ่านพ้นสิ่งต่างๆ มาอย่างหลากหลาย  แต่สิ่งที่ได้ตั้งปณิธานก็คงไม่มีวันลืม  จนกระทั่งอายุผ่านพ้นมาถึงช่วงซึ่งฉันกำลังจะเข้าไปศึกษาเล่าเรียนในระดับสูง  แต่ในดวงวิญญาณก็ยังไม่คิดที่จะขึ้นไปอยู่สูงเหนือคนอื่นแม้กระทั่งขึ้นไปเอาปริญญาด๊อกเตอร์จากเมืองนอก  คงมุ่งมั่นศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่มันผ่านเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน  แม้กระทั่งช่วงที่ฉันยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมตอนต้น ตนก็มีนิสัยค้นคว้าหาความรู้เพื่อมุ่งสู่อิสรภาพมาตลอด

ปกติ  ในยามว่างฉันมักใช้ชีวิตออกท้องไร่ท้องนาไปคลุกคลีอยู่กับชาวบ้าน  บางครั้งก็ไปเล่นกับฝูงวัวควายอย่างเป็นธรรมชาติ  ในช่วงเลิกเรียน ฉันมักสนใจเข้าห้องสมุดไปค้นหาหนังสือที่ชื่อ “General  Mechanics”เพราะในนั้นมีการออกแบบเครื่องบิน รถยนต์  เรือใบรวมทั้งยานพาหนะหลายอย่าง  เพราะต้องการเอามาสร้างหุ่นจำลอง  ขนาดเล็กภายในห้องนอนจนกระทั่งเต็มไปหมด

เพราะตัวเองมีวิญญาณที่ต้องการอิสรภาพในการออกไปเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากโลกภายนอก  จึงคิดแบบเด็กๆ ว่า  ต่อไปในอนาคตอยากจะเป็นนักข่าวโดยที่ตั้งใจไว้ว่าจะสร้างรถยนต์ที่ขับไปไหนมาไหนได้สะดวกรวมทั้งมีที่นอนในรถด้วย  เพราะอยากรู้อยากเห็นความจริงในสังคม  เพื่อนำมารายงานให้ประชาชนเพื่อนฉันได้รับทราบ

นอกจากนั้น  ยังคิดสร้างเครื่องบินลำเล็กๆ จนกระทั่งมันบินได้แล้วก็วาดฝันไว้ว่าจะขยายแบบออกไปเป็นลำใหญ่เพื่อใช้เป็นยานพาหนะบินไปทั่วโลก  โดยไม่ต้องให้ใครมาบังคับ  สรุปแล้วตัวฉันเองยังเป็นเด็กจึงไม่รู้ประสีประสาอะไรมากไปกว่าการคิดแบบเด็กๆแต่มันก็มีรากฐานอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ

แท้จริงแล้ว  ตัวเองมีวิญญาณริเริ่มสิ่งใหม่ๆ มาในอดีตคงรู้แต่ว่าตนต้องการอิสรภาพอย่างที่สุด แถมยังตั้งปณิธานเอาไว้ด้วยว่า ถ้าฉันมีอิสรภาพจะต้องสร้างงานให้แก่สังคมทุกแง่ทุกมุมคงจะมีความสุข

ขณะนั้น  ภายในห้องนอนของฉันเต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์ลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรางรถไฟ  วัสดุต่อเครื่องบินเล็ก  รถยนต์  แม้กระทั่งเครื่องฟักไข่  รวมทั้งตัวอย่างสารเคมีที่เก็บมาใส่ขวดเล็กๆ ตั้งไว้ศึกษาเต็มไปหมด

อยู่มาวันหนึ่งฉันทดลองเคมีจนกระทั่งควันมันขึ้น  พ่อของฉันมองผ่านหน้าต่างเข้ามาแลเห็นควันจึงตะโกนถามว่า แป๋ว!แกสูบบุหรี่รึ?”  ฉันตกใจรีบตอบไปว่า  เปล่าครับ

เมื่อฉันมีอายุ 12 ขวบ พ่อกับแม่ก็แยกทางกันเดิน  ส่วนตัวฉันเองมีแม่เลี้ยงคนใหม่  ช่วงนี้ชีวิตตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบากยิ่งกว่าเก่ามาก  โดยเฉพาะแรงกดดันทางจิตใจรวมทั้งการดูถูกเหยียดหยามจากบรรดาญาติพี่น้องจนกระทั่งต้องไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว  กระทั่งวัณโรคลงปอดแต่แล้วก็ได้คุณหมอใจบุญมาช่วยเอาไปรักษาจนหาย

ถ้าใครถามว่าฉันเป็นทุกข์รึเปล่า  คงตอบอย่างภาคภูมิใจว่า  ไม่เคยเป็นทุกข์แม้แต่น้อย  นอกจากภายในรากฐานจิตใจที่จียมเนื้อเจียมตัวอยู่เสมอ  ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของฉันอยู่แล้ว

ในที่สุดวิถีชีวิตมันก็นำฉันมาพบกับนักเรียนนายร้อยเทคนิคคนหนึ่งที่ชื่อ กวี  ลำเลียงพลฉันเรียกเขาว่าพี่วีพลอากาศเอกกวี ลำเลียงพลบัดนี้ถึงแก่กรรมไปแล้ว  พี่วีชอบแวะมาคุยกับฉันเป็นประจำ จนกระทั่งตัวฉันเองอยากเป็นนักบิน  เพราะรู้สึกว่าชีวิตผจญภัยดีมาก  จนกระทั่งในที่สุดหลบพ่อไปสมัครเป็นศิษย์การบินอยู่ที่ดอนเมือง  ซึ่งขณะนั้นมีคนสมัครร่วม1,000 คน  แต่เขาต้องการเพียง 25 คนเท่านั้น  บังเอิญสอบติดเสียด้วย  จึงต้องการให้ผู้ปกครองไปทำสัญญามอบตัวตามกฎหมายเผื่อตกเครื่องบินจะได้ไม่มีเรื่อง  ความลับจึงแตกโดนถูกแม่ที่ทราบเรื่องจึงขัดค้านอย่างแรง

ฉันนึกถึงสงครามไทย-อินโดจีนในช่วงนั้น  ซึ่งอินโดจีนยังเป็นของฝรั่งเศส  มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และทางวิทยุแทบทุกวันประกาศเป็นประจำว่า  เรืออากาศโท สานิตย์  นวลมณี  เป็นนักรบที่กล้าหาญมาก  เขาขึ้นต่อสู้ในสงครามทางอากาศ  ยิงเครื่องบินข้าศึกตกวันละลำสองลำทำให้ฉันรู้สึกหัวใจพองโตอยากออกรบกับเขาบ้างแต่มันก็ไม่สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม  ชีวิตฉันมันก็ยังมีจิตวิญญาณอยู่กับพื้นดินอย่างมั่นคงมาตลอด  แม้กระทั่งเป็นยุวชนทหารก็ได้แถบกล้าหาญสีแดงติดหน้าอก  เพราะกลางดึกออกไปช่วยตำรวจเขาดับไฟที่ไหม้ครั้งใหญ่บริเวณอำเภอนางเลิ้ง

ในที่สุดวิถีชีวิตมันทำให้ต้องมาเรียนเกษตรเพราะรักที่จะใช้ชีวิตติดพื้นดินและการเผชิญกับความยากลำบาก  ทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตทหารนั้นปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิดของไทย  แต่ก็ยังไม่ลึกซึ้งเท่ากับเกษตรกรชาวบ้านซึ่งเป็นกองทัพเศรษฐกิจของชาติ  ซึ่งจะต้องเป็นคนมีนิสัยอดทนและอดกลั้นสามารถต่อสู้กับงานหนักได้อย่างมีความสุข

ช่วงเดือนธันวาคม  ปีพ.ศ. 2484  ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตามชายฝั่งของประเทศสยามหลายจุดโดยเฉพะอย่างยิ่งที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงมาถึงจังหวัดชุมพรและสงขลา  ช่วงนั้นรัฐบาลได้ใช้ยุวชนทหารออกรบเป็นแนวหน้าตามชายฝั่ง  ฉันได้ทราบข่าวว่าขณะที่ยิงกันอยู่คนละฟากถนน  ยุวชนทหารติดดาบปลายปืนวิ่งข้ามถนนไปแทงทหารญี่ปุ่นตายเป็นจำนวนมาก  ถ้าช่วงนั้นฉันยังอยู่ที่นั้นก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้

ช่วงปีพ.ศ. 2490

ช่วงนั้นฉันเรียนจบหลักสูตรการเกษตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  หลายคนคงสงสัยว่าทำไมฉันจึงคิดอุตริไม่ยอมอยู่กรุงเทพฯ  ทั้งๆ ที่เกิดกลางใจเมืองกรุงเทพฯ หากอยู่กรุงเทพฯก็จะได้เงินเดือนดี  ได้ความมีหน้ามีตาได้มีตำแหน่งในราชการ  แต่กลับตัดสินใจออกมาอยู่ชนบทและใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับคนงานในไร่แบบเพื่อนกับเพื่อน แถมยังเจียดเวลาว่างมาใช้ค้นคว้าหาความจริงจากใจตนเองเกี่ยวกับกล้วยไม้และต่อสู้มาหลายสิบปีจนกระทั่งสังคมยอมรับไปทั่วโลก

ใครจะคิดเลยว่าการที่ฉันทำแบบนั้นมันช่วยให้งานทุกอย่างเดินไปสู่เป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง  เพราะคนงานในไร่ก็คือพื้นฐานชีวิตของเรา  ถ้าเขาขาดกำลังใจงานในระดับพื้นฐานของเราก็คงไปได้ยาก  ส่วนตัวฉันเองก็มีความสุขเพราะช่วยให้รากฐานความเป็นมนุษย์มันเข้มแข็งยิ่งขึ้น  นี่คือหลักของคำว่า  พอเพียงเพราะไม่อยากได้จึงได้เพราะไม่อยากเป็นจึงต้องเป็น อีกทั้งยังต้องเป็นบนพื้นฐานความศรัทธาบารมี

ชีวิตฉันได้เล่ามาแล้วทั้งหมดโดยย่อ  มันได้ช่วยให้ตัวฉันเองมีความภูมิใจในความเป็นคนเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด  ทั้งนี้เพราะเหตุว่าตนได้ทำงานตามที่ตั้งปณิธานเอาไว้ตั้งแต่ชีวิตยังเป็นเด็ก

 

1  มกราคม  2554

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *