ประสบการณ์จากการบริหารงาน อุดมศึกษาเกษตร

เปิดใจเพื่อศึกษาความจริงของชีวิตครูเกษตรคนหนึ่งซึ่งอยู่กับพื้นดินมาตลอด
ธรรมะ คือรากฐานการเรียนรู้ที่เข้าถึงความจริงซึ่งอยู่ในใจตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ จากการนำปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นฐานความหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับพื้นดินถิ่นเกิด  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตซึ่งตกทุกข์ได้ยาก  โดยเหตุที่ตัวเองจะต้องมีความเมตตาปราณีที่มอบให้แก่ทุกคน
จากความจริงดังได้กล่าวมาแล้ว หากรากฐานจิตใจตนเองมีความมั่นคงอยู่กับเงื่อนไขอันเป็นธรรมชาตินับตั้งแต่เกิดมาสู่โลกใบนี้จนกระทั่งดับสูญ   ทุกคนย่อมเข้าถึงความเป็นมนุษย์ได้อย่างเสมอเหมือนกันหมด

สิ่งนี้หรือมิใช่ที่มักเรียกกันว่า “ความกล้าหาญในการเรียนรู้จากจริยธรรมซึ่งแต่ละคนต่างก็มีโอกาสอยู่แล้ว” แทนที่จะหนีโลกไปอยู่ในมุมตรงกันข้าม

บทนำ

คนโบราณได้สอนไว้ว่าอย่าไปมองที่ตัวมัน  ขอให้มองที่มาที่ไปให้ปรากฏอยู่ในจิตใต้สำนึก  การบริหารงานทุกรูปลักษณะ  ความสำเร็จหรือความล้มเหลวย่อมขึ้นอยู่กับการบริหารงานบุคคลอันควรถือว่า  คือเหตุและผลอย่างสำคัญ
อนึ่ง  เมื่อนำเอาการบริหารงานบุคคลมาพิจารณาค้นหาความจริงและใช้เป็นพื้นฐานการเรียนรู้  สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงก่อนอื่นก็คือการหวนกลับมาค้นหาความจริงจากใจตนเอง  อีกทั้งถามว่า “เราบริหารใจตัวเองให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนมนุษย์ได้แล้วหรือยัง?”  หลังจากนั้นจึงคิดถึงความสำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่นอันควรถือว่าคือพื้นฐานสำคัญของการปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
นอกจากนั้น  หากนำวัฒนธรรมท้องถิ่นมาพิจารณายกความสำคัญเอาไว้เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด  จึงขออนุญาตกล่าวถึงรากฐานวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อให้ทุกคนมองเห็นความจริงได้ถึงรากเหง้าได้อย่างชัดเจนให้เชื่อมั่นได้
อนึ่ง มีคำปรามาสที่มักได้ยินบางคนพูดออกมาจากใจในอดีตเป็นช่วงๆ ว่า “คนไทยส่วนใหญ่มีของดีแล้วรักษาเอาไว้ไม่อยู่ เพราะดูถูกตัวเอง” ทำให้คนชาติอื่นมาฉกฉวยเอาไปได้โดยง่าย
เมื่อพูดถึงคำว่า “วัฒนธรรมท้องถิ่น” หลายคนมักมีแนวโน้มที่เข้าใจว่าการพูดภาษาไทย  การฟ้อนรำไทย การเขียนภาพแบบไทยๆ การเล่นดนตรีไทย หรืออะไรต่อมิอะไรที่ใช้คำตามหลังว่าไทย  ซึ่งแท้จริงแล้วน่าจะหมายถึงผลสำเร็จรูปจากรากฐานจิตใจคนท้องถิ่นที่สืบเนื่องมาจากการนำปฏิบัติ  โดยใช้ความรักแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองเป็นพื้นฐานมาแต่อดีต
หากความเสื่อมโทรมในด้านคุณธรรมและจริยธรรม ที่มีผลสืบเนื่องมาจากการที่ผู้บริหารไม่อาจละลดกิเลสภายในจิตใจตนเองให้ได้เสียก่อน  หากยังนำความอยากแม้แต่ความโลภที่เกิดจากความไม่รู้จักพอเพียงเข้าไปแฝงไว้  หาได้ส่งผลให้เป็นไปตามความปรารถนาของสังคมซึ่งทุกคนมีความมุ่งมั่นร่วมกันไม่  หากกลับทำให้วิญญาณความรักแผ่นดินถิ่นเกิดของคนท้องถูกทำลาย  ทั้งนี้ “มองข้ามความสำคัญของจิตวิญญาณตนเองไปยึดติดอยู่ที่รูปวัตถุซึ่งเป็นผลสำเร็จรูปทางวัฒนธรรมจากคนต่างถิ่นที่เข้าไปยัดเยียดให้  แม้แต่การแต่งตัวหรูๆ แบบฝรั่งมังค่า หรือว่าพูดคำไทยคำหนึ่งคำฝรั่งคำหนึ่งสลับกันไปสลับกันมาโดยที่คิดว่าเป็นเรื่องโก้หรูหรือไม่ก็อวดตัวเองว่าฉันเป็นคนมีความรู้มาจากเมืองนอก ซึ่งมันไม่ใช่วัฒนธรรมของคนไทยที่ควรให้ความเคารพรักแผ่นดินถิ่นเกิดอันเป็นที่มาที่ไปของชีวิตตัวเอง”

สิ่งดังกล่าวแล้วหรือมิใช่  ที่สะท้อนออกมาปรากฏให้เห็นภาพในสังคมยุคนี้ค่อนข้างชัดเจน   ย่อมหมายความว่ากลุ่มบุคคลผู้นำปฏิบัติดังได้กล่าวมาแล้วได้ถูกวัฒนธรรมผลสำเร็จรูปทางวัตถุจากคนต่างถิ่นครอบงำทำลายสัจธรรมภายในจิตใจตนเอง  ครั้นสะท้อนผลออกมาปรากฏแก่สายตาคนในสังคมไทย  ย่อมส่งผลทำให้คนส่วนหนึ่งได้รับผลดังกล่าวเข้าไปไว้ในรากฐานความคิดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้  อันควรพิจารณาได้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้น่าจะถูกประณามว่า “เป็นคนขายชาติ” เพราะความไม่รู้

แม้แต่การบริหารงานที่ปรากฏอยู่ในบทความเรื่องนี้  ยิ่งเป็นการบริหารงานการศึกษาเกษตรซึ่งแต่ละคนไม่ว่าจะอยู่ในสาขาไหน ควรจะรู้จักความรักพื้นดินถิ่นเกิดของตัวเอง ถ้าเน้นความสำคัญที่คน    ความสำเร็จย่อมเป็นไปตามเป้าหมายให้เชื่อมั่นได้ทุกเรื่อง
จึงสรุปได้ว่า  เนื้อหาสาระภายในบทความเรื่องนี้ รวมทั้งการนำปฏิบัติของบุคคลซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ  หาใช่อยู่ที่สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งที่มีชื่อพ่วงท้ายว่า “เกษตร” เท่านั้นไม่  หากใช้กับสถาบันการศึกษาซึ่งตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินไทยทุกรูปลักษณะ  แม้จะมีชื่อเป็นอย่างอื่น ย่อมได้ผลเช่นเดียวกันทั้งหมด
การศึกษากับการจัดการ
การที่ตัวฉันเองหันกลับมาสนใจ “การศึกษากับการจัดการ”  ก็เพราะเหตุว่าส่วนหนึ่งของคนในสังคมได้สะท้อนภาพออกมาให้คนส่วนใหญ่เห็นได้ว่า  ฉันทำเรื่องกล้วยไม้  แต่แท้จริงแล้วฉันต้องการเรียนรู้ปัญหาเกี่ยวกับ  “สิทธิมนุษยชน” ซึ่งอยู่ในใจคนทั่วไปอย่างหลากหลาย
อนึ่ง ความสำเร็จในเรื่องนี้จำเป็นต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมภายในรากฐานจิตใจตนเองเป็นพื้นฐานการนำปฏิบัติอย่างดีที่สุด  อันถือว่าคือพื้นฐานสำคัญของความสำเร็จ
ซึ่งความคิดคนทั่วไปในสังคมไทยยุคนี้ที่มองออกจากตัวเองด้านเดียว  และเห็นว่าฉันทำเรื่องกล้วยไม้นั้น  คือแรงบันดาลใจอย่างสำคัญที่กระตุ้นให้ฉันรู้สึกท้าทายที่จะหันมาเริ่มต้นจับเรื่อง“คนในสังคมกล้วยไม้” อันหมายถึง  “การศึกษาทางเลือก”  นอกจากนั้นหลังจากการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าการศึกษาแบบเก่าส่วนใหญ่ส่งผลหล่อหลอมคนให้สำคัญตนเองผิดเพราะยิ่งเรียนก็ยิ่งทำให้รากฐานความคิดตื้นเขิน  อีกทั้งมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น
แม้แต่การที่ฉันได้กระตุ้นให้เยาวชนส่วนใหญ่ร่วมมือร่วมใจกันทำงานพัฒนาชนบท  โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาจิตใจตนเองในสถาบันการศึกษาจากปัญหาที่เกิดขึ้น
ซึ่งเรื่องนี้คือความจริงภายในใจตนเองที่หยิบยกมากล่าวไว้ ณ โอกาสนี้  ขอให้ทุกคนคิดว่า “ใครทำอะไรก็ตาม โปรดอย่าคิดว่าการจัดการศึกษานั้นเป็นคนละเรื่อง” แต่แท้จริงแล้วคือพื้นฐานสำคัญของปัญหาในทุกๆ เรื่อง
ดังนั้น จากสาเหตุดังกล่าว จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันต้องหวนกลับมาค้นหาความจริงซึ่งเป็นเงื่อนไขแฝงอยู่ในการจัดการศึกษาเท่าที่เป็นมาแล้ว  ยิ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยโปรดอย่าดูถูก   ทั้งนี้เพราะเรื่องเล็กที่สุดคือรากเหง้าของเรื่องใหญ่
ความจริงแล้ว  หลังจากพบว่าของเก่ามันสร้างปัญหาให้แก่สังคม  เราก็ควรหวนกลับมาทบทวนตัวเองเพื่อเลือกทางเดินใหม่ที่ช่วยหล่อหลอมให้เยาวชนมีความรักและรู้คุณค่าแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองเหนือกว่าการศึกษาเล่าเรียนภายในห้องเรียนอันมีกระแสหล่อหลอมให้คนยึดติดอยู่กับรูปวัตถุ  ซึ่งหวังว่าควรจะสอดคล้องกันกับเหตุและผลอันจะนำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงเพื่อนำไปสู่ความอยู่รอดปลอดภัยของสังคมไทยอย่างสำคัญ  ซึ่งความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาทางเลือกควรจะอยู่ในรากฐานชีวิตเธอเองอย่างสำคัญที่สุด
หากเธอยังไม่รู้สึกตัว   แต่มีสัญชาติญาณอันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว  หากนำเอาออกมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิต อย่างน้อยก็ยังช่วยให้จิตวิญญาณตัวเองนำไปสู่ผลสำเร็จได้บ้าง
ความสำคัญของการเกษตร

การเกษตรกรรมคือความมั่นคงของชาติและการพัฒนาการเกษตรจำเป็นต้องใช้ศิลปะเป็นพื้นฐาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะในการดำเนินชีวิตที่มีจิตวิญญาณหยั่งรู้คุณค่าของพื้นดิน  รวมถึงการปฏิบัติงานซึ่งจำเป็นจะต้องมีความอดทนอย่างที่สุด
การที่ฉันนำเรื่องนี้มากล่าวเน้น  หาใช่เป็นเพราะตัวฉันเองเป็นคนเกษตรไม่ หากคนไทยทุกคนที่เกิดมาบนแผ่นดินผืนนี้ จำเป็นต้องหยั่งรู้คุณค่าของการใช้ชีวิตติดดิน  ยิ่งเป็นเรื่องการศึกษาด้วยแล้ว  ซึ่งประเด็นนี้ไม่เพียงแต่ชาติไทยเท่านั้น  หากใช้เป็นหลักปฏิบัติเพื่อความมั่นคงของชุมชนท้องถิ่นทุกชาติทุกภาษาและทุกลัทธิความเชื่อ  แม้แต่ชาติไหนซึ่งขาดที่ดินทำเกษตรย่อมต้องใช้กลยุทธ์เพื่อถือครองแผ่นดินของชนชาติอื่นในการทำเกษตร
สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด  ควรถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนไทยทั้งชาติให้รำลึกถึงสัจธรรมบทนี้
ในฐานะที่เมืองไทยเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ  ดังเช่นภาษิตโบราณที่กล่าวฝากไว้ในอดีตว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”  เพราะฉะนั้นการเกษตรกรรมจึงมีความสำคัญต่อชีวิตคนท้องถิ่นทุกชาติที่ควรจะหวงแหนเอาไว้อย่างที่สุดสำหรับความมั่นคงของชาติไทย
อนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างควรจะมองเห็นได้ 2 ด้าน  ซึ่งในกรณีนี้เป็นเพราะในน้ำมีปลาในนามีข้าวนี่แหละ  เราจึงพบคนหลายชาติหลายภาษาที่สนใจเข้ามาถือครองแผ่นดินผืนนี้  “อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชน”  ดังนั้นหากคนไทยมีนิสัยนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น  ในอนาคตคงบอกได้ว่า  “เราจะต้องสิ้นแผ่นดินถิ่นเกิด” เมื่อสิ้นแผ่นดินก็ย่อมสิ้นชาติในที่สุด
แม้แต่การลงทุนส่งเสริมการเกษตรภายในชาติที่เห็นแก่เงินเป็นใหญ่จนกระทั่งเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามามีสิทธิถือครองแผ่นดินของเราเอง  หากองค์กรไหนได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเพราะนโยบายของรับดังกล่าว  เราควรประณามว่าองค์กรนั้นมีพฤติกรรมขายชาติ  แม้จะเกิดเพราะความไม่รู้ของผู้บริหารในอำนาจรัฐ  แทนที่คนไทยจะได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการจ่ายภาษีอากรให้กับรัฐ แต่คนต่างชาติที่เข้ามาทำการเกษตรอยู่ในเมืองไทยอย่างกว้างขวางจนแทบจะมาครองแผ่นดินผืนนี้ กลับได้รับประโยชน์มากกว่า “แล้วภาษีที่เก็บไปจากเกษตรกรไทยตาดำๆ ซึ่งชีวิตยังตกอยู่ในสภาพยากไร้ มันได้กลับคืนมาสู่คนไทยจริงหรือเปล่า?”
ประเด็นดังกล่าว  แม้แต่นักวิชาการในสถาบันการศึกษายุคปัจจุบัน  ซึ่งส่วนใหญ่ที่ไปศึกษาเล่าเรียนมาจากเมืองนอก  ก็ยิ่งคิดได้ไม่ถึง คงตกอยู่ในสภาพหลงเสพความสบาย
จากสภาพดังกล่าว  หากมองอีกด้านหนึ่ง  คนไทยซึ่งเป็นเจ้าของท้องถิ่นควรมีจิตใต้สำนึกที่รำลึกถึงบุญคุณแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง
ดังเช่นที่พระเจ้าแผ่นดินของไทยทุกพระองค์เท่าที่มีมาแล้วในอดีตจนถึงปัจจุบันได้ทรงสร้างบุญคุณไว้ให้กับคนไทยทุกยุคทุกสมัย  อันควรถือว่าคือพระคุณอันยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ นอกจากนั้นคนในอดีตยังได้พร่ำสอนฝากเอาไว้ด้วยว่า “ขอให้รำลึกถึงบุญคุณของคนที่สร้างคุณงามความดีฝากไว้ให้แก่ตนเอง  เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของคนยุคปัจจุบันรวมทั้งตัวเองด้วย”
ดังนั้น  ภายในกระบวนการจัดการศึกษาเท่าที่ได้ผ่านพ้นมาแล้ว  ไม่ได้สร้างจิตใต้สำนึกให้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยุคนี้รักชาติรักแผ่นดิน  คงเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ส่วนตัว  แม้แต่ความมีหน้ามีตาระหว่างกันและกัน  ในอีกด้านหนึ่งก็ย่อมผลิตคนออกมาให้เห็นแก่เงินและอำนาจทางวัตถุเป็นใหญ่  เพราะฉะนั้นกระแสเงินจากภายนอกจึงเข้ามาซื้อทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ซื้อแผ่นดินถิ่นเกิดรวมถึงคุณค่าของคนไทยทั้งชาติอย่างปราศจากยางอาย
ประเด็นดังกล่าว ย่อมมีผลสืบเนื่องมาจากจิตใจคนไทยที่ไม่รู้จักคำว่า “พอเพียง” อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก “การอยากได้เงินจากคนต่างชาติแม้แต่นโยบายการท่องเที่ยวที่ขาดการสร้างความอดทนเข้มแข็งแก่คนในชาติให้ได้เสียก่อน เสมือนกับชักศึกเข้าบ้าน”  เราก็ยังขาดจิตใต้สำนึก
บางคนอาจโต้แย้งว่า “ถ้าอย่างนั้นเราจะหาเงินจากที่ไหน”  ถ้าจะให้ฉันตอบก็คงขออนุญาตบอกตามตรงว่า “ก็เพราะตัวเธอเองขาดความอดทนรวมทั้งการสร้างคุณงามความดีให้ชนรุ่นหลังรู้สึกศรัทธา”   นี่แหละหมายถึงการศึกษากับการจัดการ  เริ่มต้นจากพ่อแม่ของแต่ละคนที่ไม่ได้เลี้ยงดูลูกให้มีความอดทนสูง  ซึ่งในยุคนี้ปัญหาเรื่องนี้ได้ลุกลามขยายขอบข่ายออกไปจนกระทั่งกลายเป็นเรื่องคอรัปชั่นที่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง
เมื่อกล่าวถึงการเกษตรกรรม  การจัดการศึกษาที่เน้นความสำคัญ “ความรักแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเราเอง” ฉันซึ่งเป็นผู้บริหารจึงได้ใช้นโยบายการนำปฏิบัติลงสู่พื้นดินให้บังเกิดความสุข  เพื่อสร้างจิตใต้สำนึกให้เยาวชนลงไปใช้ชีวิตสัมผัสกับพื้นดินแบบ “นอนกลางดินกินกลางทรายร่วมกับชาวบ้านซึ่งชีวิตยังตกอยู่ในสภาพที่ยากไร้” โดยตัวฉันเองเป็นผู้นำปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่ดีทำให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายเกิดความมั่นใจและมีกำลังใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นตัวฉันเอง  ยังสามารถรักษาวิญญาณความเป็นครูที่แท้จริงเอาไว้ให้ชัดเจนอยู่เสมอ  อันหมายถึงคุณค่าของชีวิต  ซึ่งตนควรจะตระหนักได้อย่างผู้รู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  การทำเกษตรกรรมคือสภาพชีวิตที่ควรจะต้องรู้คุณค่าของแผ่นดินอันควรถือว่าเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของตัวเอง  จึงควรถือว่าน่าจะมีบทบาทสำคัญอย่างที่สุด  นอกจากนั้นแล้วตามหลักสัจธรรมในเมื่อการเกษตรกรรมคืองานที่อยู่ใกล้ชิดแผ่นดินมากที่สุด  ดังนั้นผู้บริหารการศึกษาเกษตร ไม่ว่าจะอยู่ในคณะวิชาอะไร  จึงควรเป็นผู้นำในการปฏิบัติโดยมีธรรมชาติภายในจิตวิญญาณที่อยู่ใกล้ชิดพื้นดินอย่างรู้คุณค่าที่สุด  อันถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบรรดาศิษย์ซึ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นหลัง
อนึ่ง บทความเรื่องนี้มีชื่อว่า “ประสบการณ์จากการบริหารงาน
อุดมศึกษาเกษตร” จากความจริงที่ฉันขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นความรู้แก่ทุกคนซึ่งเป็นคนไทยผู้ถือกำเนิดเกิดมาบนแผ่นดินผืนนี้ จึงควรสำเหนียกเอาไว้ด้วยแง่คิดมุมมองที่สอดคล้องกันกับสัจธรรมของชีวิตดังได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด
ก่อนอื่นเมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งควรเป็นแม่แบบการจัดการศึกษาเกษตร  ในปัจจุบันได้มีการแยกแยะสาขาออกไปเป็นคณะวิชาต่างๆ อย่างหลากหลาย  แต่อย่างไรก็ตามทุกคนควรมีวิญญาณความรักที่ตระหนักได้เองว่า “ทุกคณะวิชาควรจะถือนโยบายในการรับใช้ชีวิตเกษตรกรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” ดังเช่นคณะวิศวกรรมศาสตร์ควรคำนึงถึงเครื่องมือเครื่องใช้ แม้แต่ถนนหนทางรวมทั้งสิ่งก่อสร้างภายในไร่นาซึ่งเกษตรกรไทยยังคงตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบากอีกมาก
แม้แต่สาขารัฐศาสตร์  เราผู้เป็นเกษตรกรไทยก็ยังถูกเอารัดเอาเปรียบในด้านกฎระเบียบรวมทั้งศิลปะในการปกครอง แม้แต่กฎหมายซึ่งคนส่วนใหญ่หลังจบการศึกษาไปแล้ว  แทนที่จะออกไปมุ่งหาเงินและความสะดวกสบายทางวัตถุภายในเมืองกรุงเพื่อเอาตัวรอด  เช่นนี้เป็นตัวอย่าง
ดังนั้น  การลงไปสร้างรากฐานความรับผิดชอบในเรื่องนี้  คงไม่มีอะไรดีไปกว่าผู้บริหารรวมทั้งครูบาอาจารย์ซึ่งควรทำหน้าที่เป็นผู้นำปฏิบัติ รวมทั้งความคิดที่หยั่งรากลงสู่พื้นดินอย่างลึกซึ้งบนพื้นฐานบรรดาศิษย์ที่มีความหลากหลายโยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
การเข้าสู่ตำแหน่งบริหารของฉัน
ปัจจุบันนี้ใครๆ ก็เห่อประชาธิปไตยบนพื้นฐานวัตถุกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนยึดติดอยู่กับรูปแบบของวิธีการที่มองออกจากตัวเองซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากเมืองฝรั่ง  แทนที่จะรักษาจิตวิญญาณให้อิสระอันควรถือว่าคือรากเหง้าของประชาธิปไตยที่แท้จริง
อนึ่ง  การสมัครรับเลือกตั้งนั้น  ตามประเพณีนิยมก็ต้องมีการหาเสียงซึ่งมีการอวดอ้างความรู้ความสามารถและคุณงามความดีของตัวเองให้คนอื่นยกย่องสรรเสริญ
ดังนั้นจากความเชื่อดังได้กล่าวมาแล้ว หลังจากนำปฏิบัติเข้าจริงๆ กับมีปัญหาที่สะท้อนออกมาในลักษณะที่สวนทางกันกับคุณค่าและจริยธรรม  อันน่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญตามความคาดหมาย
ฉันนึกถึงพระภิกษุรูปหนึ่ง  ซึ่งได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมอย่างกว้างขวาง  พระภิกษุท่านนี้ก็คือ  “ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ”   ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่  ท่านได้กล่าวสรุปไว้ว่า “วิถีทางที่ก่อให้เกิดปัญหานั้น ถ้ากลับทิศทางก็ย่อมช่วยแก้ปัญหาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ” นอกจากนั้นยังมีโอกาสเรียนรู้ธรรมะอย่างถึงรากฐานได้ด้วย
ข้อความประโยคนี้  ดูเหมือนจะคิดได้ไม่ยาก   แต่การปฏิบัตินั้นซิ  ถ้าไม่ละลดความเห็นแก่ตัวลงไปให้ถึงระดับหนึ่งก็คงกระทำได้ไม่ง่ายนัก
ความยากความง่ายนั้นหาใช่ของจริงไม่  แต่ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ถ้าเราเอาชนะใจตนเองไม่ได้ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จ
อนึ่ง  ลักษณะวิธีการเข้าไปสู่ตำแหน่งบริหารของฉันนั้น  ถ้าจะถามว่ามีการเลือกตั้งหรือเปล่า  จากสิ่งที่เป็นความจริงย่อมตอบได้ว่า “มีแน่” ถ้าจะถามว่ามีการสมัครหรือเปล่า   ฉันก็คงตอบว่า “มีอีกนั่นแหละ”
แต่แทนที่จะให้สมัครเสียก่อนแล้วจึงเลือกตั้ง  ในกรณีของฉันนั้น  มีการกลับทิศทางอันหมายถึง  “ปล่อยให้ประชากรมีการเลือกตั้งอย่างอิสระเสียก่อน   แล้วจึงค่อยหวนกลับมาพิจารณาตัวเองว่าควรจะสมัครหรือไม่บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมในภายหลัง”

ทั้งนี้  เป็นเพราะตัวฉันเองมุ่งมั่นทำงานอย่างมีความสุขโดยไม่ได้คิดที่จะอยากขึ้นไปมีตำแหน่งสูงๆ ดังจะเห็นได้จากบทความเรื่องหนึ่งซึ่งได้เขียนเอาไว้ภายใต้ชื่อเรื่องว่า “ฉันไม่ชอบขึ้นสู่ที่สูง” ซึ่งฉันถอดใจออกมาเขียนให้เธอทุกคนมีโอกาสเรียนรู้
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง  ในช่วงปี พ.ศ. 2511-2512  การบริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในช่วงนั้นได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างอำนาจรัฐกับประชากรในมหาวิทยาลัย
แม้ว่าฝ่ายอำนาจรัฐจะได้พยายามประนีประนอมด้วยวิธีการต่างๆ  ก็ยังไม่เป็นผล  หากเกิดความแตกแยกขึ้นในมหาวิทยาลัยหนักมากยิ่งขึ้น  จนกระทั่งมีการแบ่งแยกออกไปเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างยากที่จะประสานรอยร้าวให้กลับคืนมาสู่สภาพปกติได้โดยง่าย
จากธรรมชาติภายในจิตใจของฉัน
ความจริงแล้ว  แต่ไหนแต่ไรมาตัวฉันเองก็ไม่เคยสนใจอยากได้ตำแหน่งบริหารอะไรต่อมิอะไรที่ยกตัวเองให้สูงยิ่งขึ้นกว่าเพื่อนมนุษย์ซึ่งใช้ชีวิตติดดิน  นอกจากมุ่งมั่นทำงานลงสู่พื้นดินเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์ที่เป็นคนระดับล่างอย่างมีความสุข  ทั้งนี้เนื่องจากตัวฉันเองไม่มีนิสัย “ยกตนข่มผู้อื่น”  ยิ่งเป็นระบบการสมัครรับเลือกตั้งด้วยแล้ว  ฉันจะไม่ยอมทำอย่างเด็ดขาด  ทั้งนี้เป็นเพราะตนไม่ใช่เป็นคนมีนิสัยโฆษณาตัวเอง  โดยที่ถือว่าเป็นการเสียมารยาทที่ดีจึงรู้สึกละลายต่อบาป
แม้แต่มีอาจารย์บางคนที่อยู่ใกล้ตัวออกมาพูดปรามาสว่า   “อาจารย์ระพีเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่ได้  เพราะเหตุว่าเป็นผู้บริหารภาควิชาก็ยังไม่เคยเป็น  ผู้บริหารคณะวิชาก็ไม่เคยเป็น แถมยังไม่เคยได้รับปริญญาสูงๆ มาจากเมืองนอกอีกด้วย  แต่ฉันก็เป็นคนนิ่งเฉยโดยถือขันติธรรม  เพียงแต่รับฟังและเก็บไว้ในใจเพื่อนำมาคิดวิเคราะห์ค้นหาความจริง” จึงรู้ว่าคนที่พูดนั่นแหละเขาอยากจะเป็นเอง  เพราะถ้าไม่อยากเป็นก็คงไม่มีเหตุที่จะนำออกมาคิดและพูด
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้รุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ  แม้แต่ฝ่ายอำนาจรัฐซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น  หลังจากใช้วิธีประนีประนอมเพื่อให้เข้าใจซึ่งกันและกันและยอมรับความจริง  แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ  จนทำให้ต้องตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้โดยมี “ม.ล.ปิ่น  มาลากุล” เป็นประธาน
หลังจากกาลเวลาได้ผ่านพ้นมาเป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ  จึงปรากฏว่าจากเหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนั้นได้จบลงด้วยการทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายจำต้องถอดตัวออกไปจากตำแหน่งด้วยกันทั้งคู่  ถัดจากนั้นมาก็ไม่อาจที่จะสรรหาบุคคลใดซึ่งมีความเหมาะสมในการบริหารงานท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้
ในที่สุดก็มีบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในคณะทำงานเพื่อแก้ปัญหาครั้งนั้น ได้เข้ามาหาฉันเพื่อขอให้เข้าไปรับตำแหน่งผู้บริหารมหาวิทยาลัย
ซึ่งในช่วงนั้น  การบริหารงานมหาวิทยาลัยมีอธิการบดีเป็นผู้กำหนดนโยบาย  ส่วนผู้บริหารตัวจริงโดยเฉพาะเน้นการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่บุคคลผู้ดำรงตำแหน่ง “เลขาธิการมหาวิทยาลัย”ซึ่งบริหารงานทั้งหมดตามนโยบาย  เปรียบเสมือนเป็นแม่บ้านดูแลทุกสิ่งทุกอย่างภายในกิจการทั้งหมดรวมทั้งการจัดการที่เกี่ยวกับวิชาการ
ในที่สุดก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาหาฉันแล้วบอกว่า “ท่านอาจารย์ระพี  ท่านเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดที่จะรับตำแหน่งเลขาธิการมหาวิทยาลัยในสภาพของปัญหาครั้งนั้น”   ฉันได้ย้อนถามกลับไปเพื่อทดสอบความจริงว่า “เพราะเหตุใดคุณจึงได้เข้ามาเลือกเอาผม?” ทั้งนี้เพราะต้องการทดสอบถึงอุดมการณ์ในเรื่องนี้ให้เห็นได้ชัดเจนเสียก่อน
หลังจากนั้น จึงได้รับคำตอบว่า “เพราะในช่วงนี้มีการแตกความสามัคคีกันเป็นกลุ่มๆ เราได้พิจารณาแล้วเห็นว่า   ท่านอาจารย์สามารถพูดกับคนได้ทุกกลุ่ม”  นี่แหละคือเหตุผลสำคัญที่อาจสรุปได้ว่า “กฎระเบียบทั้งหลายนั้นมันเป็นเพียงสิ่งสมมติ  แต่ความทุกข์ร้อนของคนทั้งชุมชนนั้นคือของจริงอันควรได้รับการพิจารณาแก้ไขในระดับพื้นฐาน”
นี่แหละ  ถ้าจะถามว่ามีการเลือกตั้งหรือเปล่า  ก็คงตอบว่า “มี และมีอย่างเป็นธรรมชาติ” หากจะถามว่ามีการสมัครหรือเปล่าก็คงตอบว่า “มีอีกนั่นแหละ”

แต่พฤติกรรมครั้งนี้มันกลับทิศทางกันกับสิ่งที่เคยปฏิบัติมาในอดีตของแบบตามกระแสสังคม  ซึ่งสร้างปัญหาหนักมากยิ่งขึ้นทำให้แก้ไขได้ยากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
ทั้งนี้เป็นเพราะเราได้ไปตามก้นผลสำเร็จรูปมาจากเมืองฝรั่งจนกระทั่งรากฐานตนเองฝังลึกยิ่งขึ้น  แต่ก็ยังไม่อาจสำนึกได้ถึงสาเหตุอันเป็นที่มาที่ไปเมื่อปี พ.ศ. 2475
ดังนั้น  เมื่อรับปากแล้วก็จะต้องมีความรับผิดชอบและกระทำอย่างดีที่สุดอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ   จากเหตุการณ์ครั้งนั้น  หลังจากฉันได้รับปากแล้วจึงนำปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ
การบริหารงานจากวิญญาณที่อิสระ
ประเด็นนี้ถ้าจะถามว่า  ในอดีตฉันเคยผ่านการศึกษาเล่าเรียนวิชาการบริหารมาจากสถาบันไหนก่อนหรือเปล่า  คำตอบที่ฉันตอบออกมาจากใจก็คือ  “ไม่เคยเรียน” เพราะรู้ทันว่า “การเรียนมาจากสถาบันนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งสมมติ แต่ของจริงนั้นฉันเรียนมาจากรากฐานจิตใจตนเองที่ให้ความรักแก่เพื่อนมนุษย์อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง โดยเฉพาะมีเป้าหมายอยู่ที่บรรดาศิษย์ที่เชื่อมโยงถึงคนระดับล่างซึ่งชีวิตยังตกทุกข์ได้ยากอยู่ในชนบท” ถ้าขืนเข้าไปเรียนก็อาจโง่ไปจนตาย
ทั้งนี้เพราะเหตุว่าถ้ารากฐานจิตใจฉันไม่แข็งพอ อิทธิพลจากมันก็คงย้อนกลับมาครอบงำทำลายจนกระทั่งคิดรังแกเยาวชนรวมทั้งคนระดับล่างอย่างขาดความเมตตาปราณี
แต่ถ้าจะถามตัวเองว่า  เคยเรียนจากธรรมชาติของชีวิตที่อยู่ในสังคมมาแล้วหรือเปล่า  คำตอบก็คือ“เคยยิ่งกว่าเคยอย่างแน่นอน” เพราะตัวฉันเองมีสิ่งนี้เป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย   จึงสนใจเรียนรู้จากเพื่อนมนุษย์อย่างมีความสุข  เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหาฉันก็คงต้องค้นหาจากใจเพื่อบำบัดความทุกข์  แล้วความจริงมันก็จะสอนตัวเองให้สามารถรู้ได้ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะการสนใจเรียนรู้จากกลุ่มบุคคลผู้ด้อยโอกาสกว่าตน  ซึ่งประเด็นนี้นับได้ว่าสอดคล้องกันกับปรัชญาที่ฉันเคยนำมาพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า “สิ่งซึ่งต่ำที่สุดนั้น  ควรยกเอาไว้เป็นครูผู้สูงสุดภายในหัวใจตัวเองสำหรับการดำเนินชีวิต”
ซึ่งกรณีนี้  ตัวฉันเองได้เริ่มต้นศึกษาเล่าเรียนมาตั้งแต่ชีวิตยังพอจำความได้  และยังนำปฏิบัติอย่างต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยใช้หลักธรรมดังได้กล่าวมาแล้ว
แม้แต่ในช่วงว่างการเรียนภายในห้องจนกระทั่งเวลาเย็นและค่ำคืน  ฉันก็ยังคงนั่งเล่นอยู่กับบรรดานิสิตชายหญิงซึ่งทำกิจกรรมตามที่แต่ละคนให้ความรักความสนใจ  แม้กระทั่งกิจกรรมทางการเมืองซึ่งในขณะนั้นในแวดวงการศึกษาก็ยังมองในแง่ร้ายทำให้รู้สึกรังเกียจ  แต่ฉันกลับเห็นว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ควรจะมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด” จึงไม่ควรเอามาเลือกที่รักมักที่ชังให้จำต้องสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้
อนึ่ง  ด้วยความรักความเห็นใจอีกทั้งการยกความสำคัญของคนระดับล่างเอาไว้สูงเหนือตัวเองนี่แหละ  ที่ทำให้ตัวฉันเอง  แม้จะมีรถยนต์ประจำตำแหน่งและมีคนขับพร้อม  ก่อนที่จะเข้าประตูมหาวิทยาลัยฉันก็ยังให้คนขับลงจากรถ  แล้วตัวเองก็ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนขับรถแทน แล่นผ่านประตูมหาวิทยาลัยเข้าไปอย่างช้าๆ ส่วนสายตาก็สอดส่ายหาคนระดับล่าง แม้แต่คนงานดายหญ้าซึ่งฉันมักหยุดรถเดินลงไปคุยด้วยเสมือนเป็นเพื่อนสนิท
หากพบนิสิตชายหญิงคนไหนหรือกลุ่มไหนเดินอยู่ข้างถนน  ฉันก็มักหยุดรถรับไปด้วย  ชวนคุยไปในรถอย่างเป็นกันเองเพื่อนำไปส่งยังเป้าหมายที่แต่ละคนต้องการ จึงทำให้ตัวฉันเองรู้จักความทุกข์ยากของนิสิตและคนงานรวมทั้งพ่อแม่และญาติพี่น้องเป็นส่วนใหญ่
อนึ่ง ยังมีหลักปฏิบัติที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งดังเช่น “การยกความสำคัญของการนำปฏิบัติระหว่างตัวเองกับคนระดับล่างเอาไว้เหนือกฎระเบียบ ยิ่งเป็นสิ่งก่อสร้างและเรื่องเงินเรื่องทองด้วยแล้ว”
การนำปฏิบัติในเรื่องนี้ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากการที่ฉันใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับบรรดานิสิตทุกกลุ่มอย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง  แม้แต่ช่วงเย็นๆ ค่ำๆ หลายครั้งหลายหนก็ยังเดินเข้าไปคลุกคลีกับนิสิตในกลุ่มกิจกรรมต่างๆ อย่างเป็นกันเอง  อันถือได้ว่าเกิดจากความรักความเมตตาจากใจถึงใจช่วยให้มีความสุขมาตลอด
อนึ่ง  อาจมีคนถามว่า แล้วงานบริหารบนโต๊ะทำงานล่ะจะทำยังไง ?“เรื่องนี้ฉันได้บอกแล้วว่า  กฎระเบียบนั้นย่อมมีความสำคัญน้อยกว่าการพัฒนาตนเอง   เพราะมันเป็นเครื่องมือที่คนสมมติขึ้นมาเท่านั้น  หาใช่ของจริงที่เกิดจากจิตใจไม่”
หวนกลับไปนึกถึงช่วงซึ่งฉันยังทำงานอยู่ในภาควิชา หลังจากเสนอเรื่องราวขึ้นไปสู่ด้านบนแล้วกว่าจะกลับลงมาก็มักเป็นเวลานานอย่างรอแล้วรออีก
เพราะฉะนั้นเมื่อฉันขึ้นไปเป็นผู้บริหารก็ไม่ควรจะกระทำเช่นที่ตัวเองเคยบ่นอย่างแต่ก่อน
เพราะฉะนั้น  จึงใช้วิธีให้คนอื่นเขาบังคับตัวเองบนพื้นฐานความรับผิดชอบแทนที่จะอ้างว่าไม่มีเวลา
ดังนั้น  ฉันจึงสั่งเจ้าหน้าที่ธุรการไว้ว่า  ทุกวันเมื่อมีเรื่องที่จะเสนอพิจารณา  ก่อนเลิกงานขอให้นำแฟ้มทั้งหมดไปตั้งไว้บนโต๊ะภายในบ้าน  หากเปิดประตูบ้านเข้าไปแล้วจะต้องเห็นแฟ้มเหล่านี้ตั้งขวางอยู่ตรงหน้า
ดังนั้นแม้จะกลับบ้านค่ำคืนดึกดื่นแค่ไหน  หลังจากเปิดประตูบ้านเข้าไปแล้วมองเห็นแฟ้มเหล่านี้ตั้งขวางหน้าอยู่บนโต๊ะ แม้จะสูงแค่ไหนคืนวันนั้นถ้าทำงานไม่เสร็จฉันจะไม่ยอมนอนพักผ่อนอย่างเด็ดขาด  ทั้งนี้เพราะรู้ว่าแม้กายจะพักผ่อนแต่จิตใจก็ยังเป็นทุกข์หนักโดยที่ตัวฉันเองให้ความสำคัญแก่จิตใจที่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม  โดยเฉพาะชีวิตคนที่รอทำงานอยู่ในระดับล่าง
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้ศิลปะในการปฏิบัติงานบนพื้นฐานความรับผิดชอบสูงสุด  ซึ่งหยิบยกมาใช้เพื่อในการบริหารงานอย่างประสิทธิภาพสูงสุด
ซึ่งสรุปแล้วหลักสำคัญในการปฏิบัติก็คือ “การต่อสู้กับใจตนเองอย่างอดทนเข้มแข็ง  รวมทั้งความรู้สึกเห็นใจผู้อื่นอันควรถือว่าเป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐาน”
อย่างไรก็ตามยิ่งขึ้นไปสู่ที่สูง  วิญญาณฉันเองก็ยิ่งวางตัวลดลงต่ำกว่าคนอื่น  แม้แต่ตนเป็นครูอาจารย์ที่อยู่กับลูกศิษย์  ฉันมักรักที่จะนั่งลงบนพื้นดินร่วมกับลูกศิษย์ทุกคนอย่างมีความสุข

เหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม
เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์นองเลือดในช่วงวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งหลายคนกล่าวขานกันอย่างกว้างขวางจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ อันนับได้ว่าหมายถึงเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นภายในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475มาจนถึงวันนั้น
เธอที่รักทุกคน ถ้าเธอไม่ใช่เป็นคนลืมง่าย  อีกทั้งยังมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองอยู่ภายในรากฐานจิตใจอย่างลึกซึ้ง  เธออาจไม่สงสัยว่าประเด็นดังกล่าวจะนำมาพูดกันว่าเป็นการปรับตัวบนพื้นฐานประชาธิปไตยมันก็ไม่ใช่ หากเป็นเพราะเราเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยผิดด้าน  โดยไปเน้นความสำคัญอยู่ที่รูปวัตถุ
ทั้งนี้เนื่องจาก “ประชาธิปไตยที่มีรากฐานเป็นของตนเอง หากนำปฏิบัติย่อมช่วยให้บังเกิดความสงบสุขอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะรากฐานของประชาธิปไตยนั้น หมายความถึง รากฐานธรรมะ หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่าคือพื้นฐานการปฏิบัติธรรมซึ่งนำมาใช้ในการปกครองชาติบ้านเมือง จึงทำให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นแก่ประชาชนคนทั่วไป”
ฉันจึงได้เขียนฝากเอาไว้หลายครั้งหลายหนว่า “ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในสังคมสิ่งซึ่งสามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้สำเร็จนั้น  ก็คือการใช้หลักธรรมเพื่อนำปฏิบัติ”
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน  ช่วงนั้นบังเอิญตัวฉันเองได้รับโอกาสให้บริหารงานแทนอธิการบดีซึ่งเดินทางไปต่างประเทศ
อยู่มาวันหนึ่ง  ระหว่างที่กำลังนั่งประชุมอยู่ในห้องรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย  ในวันนั้นความขัดแย้งระหว่างองค์กรนักศึกษากับฝ่ายรัฐบาลซึ่งมีนายทหารระดับจอมพลเป็นนายกรัฐมนตรีได้ทวีความรุนแรงและบังเกิดความตึงเครียดขึ้นมาถึงจุดสูงสุด

บ่ายวันนั้น ดร.เกษม  ศิริสัมพันธ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ เดินเข้าไปในห้องประชุมอย่างรีบร้อน  ส่วนปากก็บอกว่า “ผมเอาไว้ไม่อยู่แล้ว”
หลังจากนั้น  เราทั้งหลายจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็แยกย้ายกันกลับมหาวิทยาลัย เพื่อไปดูแลนักศึกษา
ตัวฉันเองก็กลับไปบ้าน หลังจากนั้นจึงพบว่ามีกลุ่มนิสิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จำนวนประมาณ 35 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการองค์การนิสิต  โดยมีนายวีระ  จันทน์แจ้งเป็นประธาน  ซึ่งเรียกกันว่า “ประธานองค์การนิสิต” ได้เข้าไปหาฉันที่บ้าน   ทั้งนี้เพราะตัวฉันเองเป็นกันเองกับนิสิตทุกคนจนกระทั่งเรียกฉันว่า “คุณพ่อ” มาเป็นเวลาช้านาน แม้แต่ใครไม่มีเงินจะซื้ออาหารกินก็ยังขี่รถจักรยานไปค้นอาหารกินในครัวที่ บ้านโดยไม่รู้สึกเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น เช่นนี้เป็นต้น
ขณะนั้นประธานองค์การนิสิตได้แจ้งให้ฉันทราบว่า “นิสิตทั้งหมดจะเดินทางไปรวมตัวกันกับบรรดานิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ท้องสนามหลวง”
ซึ่งฉันเป็นคนมีนิสัยใจกว้างกับคนทุกระดับอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง   แม้แต่ผู้บัญชาการตำรวจ  ดังนั้นฉันจึงถามกลับไปว่า  “จะไปกี่คันรถ”  ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า  “35 คันรถบัส”
ฉันจึงยกหูโทรศัพท์ไปหาพลตำรวจโท ณรงค์   มหานนท์  ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลอยู่ในขณะนั้นทันที  พร้อมทั้งบอกว่า  “ลูกศิษย์ผมจะเดินทางไปท้องสนามหลวง จำนวน 35 คันรถ  จึงขอให้ทางการตำรวจช่วยดูแลอย่าให้ใครไปทำร้ายเขา  พร้อมทั้งรับรองด้วยว่าลูกศิษย์ผมจะไม่ทำร้ายใคร”
ส่วนคุณณรงค์  มหานนท์นั้น ได้ตอบผ่านโทรศัพท์มายังฉันว่า “ครับ ผมจะดูแลอย่างดีที่สุด” แค่นี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี
ภารกิจในวันนั้นได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปอย่างหนึ่ง แต่ตัวฉันเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบในระยะยาว  ดังนั้นค่ำวันนั้นฉันจึงขับรถเข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัยและยืนอยู่ข้างหน้า นิสิตทุกคนเพื่อพร้อมที่จะรับสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น
นอกจากนั้นแล้ว  คืนวันนั้นฉันได้ขับรถอ้อมไปทางด้านถนนพหลโยธิน และเข้าไปนั่งอยู่ในความมืดใต้ต้นไม้ภายในรั้วมหาวิทยาลัยโดยมีกลุ่มนิสิต ที่ลงไปนั่งล้อมรอบคุยกับฉันอยู่ในเงามืด
หลังจากนั้นจึงมีรายงานเข้ามาจากด้านหลังว่า “คุณพ่อครับ  พวกเราได้เห็นเงาทหารถือปืนเดินซ่อนตัวอยู่ในความมืดอ้อมมาทางด้านหลังรั้ว มหาวิทยาลัย”
ฉันจึงบอกนิสิตทุกคนว่า  ตัวเองหากเห็นเขาเข้ามาจริงๆ อย่าไปทำร้าย  ขอให้นำมาหาฉันซึ่งยืนอยู่ตรงหน้านิสิตทุกคนที่หน้าอาคารเทพประศาสตร์สถิต ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งขององค์การนิสิตและเป็นอาคารซ้อมกีฬาในร่ม ของมหาวิทยาลัย
ฉันได้ขับรถไปยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานหลายชั่วโมงจนถึงช่วงเวลาเกือบตีหนึ่ง
ด้วยความรู้สึกรักและห่วงใย  กลุ่มนิสิตหลายคนได้มาขอให้ฉันไปนอนพักผ่อนอยู่ภายในบริเวณชั้นบนของหอพัก ชายหอที่ 9 ซึ่งตัวฉันเองก็ตามใจเขา
ระหว่างนั้นได้มีโทรศัพท์เข้าจากท้องสนามหลวงรายงานเหตุการณ์ต่างๆ จากที่นั่นมาสู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนตัวฉันเองกว่าจะเอนตัวลงนอนก็เป็นเวลาดึกมาก โดยที่ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวเองได้ไปทำอะไรไว้บนพื้นถนนพหลโยธิน
จนกระทั่งถึงเวลาเช้าตรู่ ฉันได้เปิดประตูห้องออกมาเพื่อจะขับรถกลับไปอาบน้ำชำระร่างกายที่บ้าน  จึงรู้ว่าประตูหอพักที่ฉันนอนได้ถูกใส่กุญแจไว้อย่างแน่นหนาแถมยังมีนิสิต กลุ่มหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นด้วย
จึงมารู้ภายหลังว่าเขาใส่กุญแจขังฉันไว้เพราะเกรงว่าจะถูกทหารมาจับตัวเอาไป
ครั้นเปิดประตูห้องได้แล้ว ตัวฉันเองจึงขึ้นไปนั่งขับรถกลับบ้าน  หลังจากเปิดประตูรั้วด้านถนนพหลโยธินออกมาเพียงเล็กน้อย  ตนก็เห็นปืนกลหนักตั้งอยู่ตรงปากประตู หันปากกระบอกปืนมุ่งมายังประตูมหาวิทยาลัย
ฉันจึงหยุดรถเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหานายทหารที่คุมปืนกระบอกนั้น
ปรากฏว่าทันทีที่ได้เห็นเขาก็ยกมือทำความเคารพฉันอย่างเข้มแข็ง จึงรู้ว่านายทหารคนนี้ก็คือลูกศิษย์ที่เคยผ่านการอบรมวิชากล้วยไม้ให้ ประชาชนในภาคค่ำของทุกสัปดาห์
เขาได้แจ้งให้ฉันทราบว่า “ท่านผู้บัญชาการทหารอากาศต้องการเชิญฉันไปพบเพื่อพูดคุยกันครึ่งทาง  โดยนัดพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในบริเวณหลักสี่”  ฉันจึงขับรถเลี้ยวตรงไปยังบริเวณดังกล่าวตามที่นัดหมาย
ฉันไปนั่งคุยกันกับผู้บัญชาการทหารอากาศอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งบ่ายแก่ๆ  กว่าจะเดินทางกลับ
ดังนั้นแม้แต่ผู้บัญชาการทหารอากาศก็ได้แสดงความเคารพนับถือแก่ฉันอย่างบริสุทธิ์ใจ
สัจธรรมจึงได้กล่าวไว้ว่า “ความเคารพรักภายในโลกใบนี้นั้นมันไม่มีขอบเขต”
บ่ายวันนั้นเรานั่งคุยกันเพลินและด้วยความเข้าใจอันดีต่อกันฉันท์มิตรสหาย ผู้บัญชาการทหารอากาศจึงสั่งถอนปืนที่นำมาตั้งจ่อปากกระบอกมายังประตูรั้ว เกษตรทั้งหมดออกไปเก็บเอาไว้โดยเรียบร้อย
กว่าฉันจะเดินทางกลับก็บ่ายแก่ๆ แล้ว  ทำให้ในเกษตรมีการลือกันว่า “อธิการบดีถูกทหารจับตัวไปแล้ว”  ขณะที่เกิดความวุ่นวายขึ้นในมหาวิทยาลัยเพราะหลายคนกำลังรวบรวมพลเพื่อจะยก ไปยังกองทัพอากาศ  แต่โชคดีที่ฉันกลับมาถึงพอดี ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเรียบร้อยลง
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ทำให้เชื่อกันว่า เกษตรโชคดีที่ขณะนั้นฉันรักษาการผู้บริหาร  ไม่เช่นนั้นแล้วเกษตรศาสตร์อาจเสียหายมากไปกว่านั้นมาก

กิจกรรมอาสาสมัครเพื่อการเรียนรู้ความจริง
มหาวิทยาลัยหมายถึงจิตวิญญาณที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเองที่ควรจะมีอิสรภาพ อย่างสอดคล้องกันกับรากฐานธรรมะ โดยเฉพาะจากการนำปฏิบัติควรจะช่วยให้หยั่งรู้ความจริงได้ว่ามหาวิทยาลัยที่ แท้จริงนั้น  หมายถึงเงื่อนไขการเรียนรู้ที่อยู่ในจิตใจตนเองของแต่ละคน  แทนที่จะหลงเดินเข้าไปหาสิ่งสมมติอันหมายถึงมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่บนรากฐาน “วัตถุนิยม” จนกระทั่งทำให้จำต้องตกเป็นทาสรับใช้คนอื่นซึ่งเสียผู้เสียคนไปตามๆ กัน
ทั้งนี้  เพราะงานอาสาสมัครที่เกิดจากอิสรภาพภายในรากฐานจิตใจตนเองของแต่ละคนนั้น  ส่วนใหญ่มักมีเงื่อนไขของผลประโยชน์ส่วนตัวเข้าไปแอบแฝงอยู่ด้วยไม่มากก็ น้อย  จึงทำให้ความยั่งยืนที่มุ่งหวังในระยะยาวมันเป็นไปได้ยาก
อนึ่ง โดยปกติแล้วงานอาสาสมัคร ไม่ว่าแต่ละคนจะทำงานอะไรอยู่ที่ไหน แม้แต่เป็นข้าราชการ หากมีจิตวิญญาณอิสระก็ย่อมมีนิสัยอาสาสมัครได้ทั้งสิ้น  แม้แต่ตัวฉันเองก็เช่นกัน
ดังนั้น สำหรับตัวฉันเองถ้าใครจะถามว่าเริ่มทำงานอาสาสมัครมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันก็คงตอบว่า เริ่มมาตั้งแต่เกิด
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากจิตวิญญาณอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคน  หากนำปฏิบัติโดยรักษาความซื่อสัตย์ต่อตนเองเอาไว้ให้มั่นคงเข้มแข็งอยู่ได้ ในระยะยาว  ย่อมช่วยให้ชีวิตไม่ว่าภายนอกจะแตกต่างกันแค่ไหน  แต่ภายในย่อมมีอิทธิพลกำหนดให้มุ่งทิศทางไปสู่ผลสำเร็จได้อย่างเท่าเทียมกัน หมด
ดังที่ภาษิตโบราณได้กล่าวฝากไว้ว่า “ความรู้ย่อมเรียนทันกันหมด”
ดังนั้น ชีวิตการเป็นผู้บริหารรวมทั้งวิญญาณความเป็นครูของฉัน  จึงอยู่บนพื้นฐานอาสาสมัครมาโดยตลอด  ทั้งนี้ก็เพื่อหวังให้ตัวเองมีโอกาสเรียนรู้ความจริงที่อยู่ภายในจิตใต้ สำนึก เพื่อให้ตนได้รับความรู้เหนือกว่าการได้รับตำแหน่งและอำนาจทางวัตถุ  หากบังเกิดแรงศรัทธาจากประชาชนคนทั่วไป
แต่ตัวฉันเองแม้จะมีจุดยืนอยู่ในระบบราชการก็ตาม  แต่ภายในวิญญาณของฉันรำลึกอยู่เสมอว่า  ตนอาสาสมัครออกไปทำงานเพื่อต้องการความรู้จากความเป็นจริงเหนือกว่าความต้อง การตำแหน่งและอำนาจทางวัตถุ
แม้ในช่วงนั้นจะถูกบรรดาครูอาจารย์รุมวิจารณ์อธิการบดีว่า “เป็นคนตามใจเด็ก” หากมองในมุมกลับก็คงหยั่งรู้ความจริงได้ว่าเพราะบุคคลที่พูดวิจารณ์ว่าเราใน ทางไม่พอใจ ย่อมหมายความว่าบุคคลเหล่านั้นขาดจิตวิญญาณอาสาสมัครในการทำงาน
จึงทำให้รู้ความจริงว่าการที่ผู้ใหญ่หลายคนขาดสิ่งสำคัญเหล่านี้ ดูเหมือนจะทำให้ฉันมีความรู้สึกที่ควรจะให้ความสำคัญแก่ตัวเองในการทำ งานอย่างมีความสุข
แต่การที่ตัวฉันเองไม่นำพาเอาเรื่องนั้นมาใส่ใจ อาจเป็นเพราะภาษิตบทหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย แต่ไม้แก่ดัดยาก”
ดังนั้น  แม้ว่าครูอาจารย์บางคนอาจรู้สึกไม่พอใจ  แต่หน้าที่ของฉันควรจะเน้นความสำคัญที่บรรดาชนรุ่นหลังมากกว่า  จึงถือขันติทำให้นิ่งเฉยเสียมากกว่าการถือสาหาความซึ่งมีผลทำลายทั้งตัวเอง และคู่กรณีร่วมด้วย
นอกจากนั้น  การถูกวิจารณ์จากบรรดาครูอาจารย์  ครั้นหวนกลับมาพิจารณาค้นหาความจริงจากใจตนเอง ซึ่งเรื่องนี้ฉันจะต้องมีความกล้าหาญโดยใช้วิธีเอาชนะใจตนเองให้ได้อย่างสอด คล้องกันกับหลักธรรมบทหนึ่งซึ่งชี้เอาไว้ว่า  “จงมองทุกสิ่งทุกอย่างในด้านดี”
ดังนั้น  การบริหารงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาของเยาวชน  ผู้บริหารควรจะมีสายตาที่กว้างไกลและมีความลุ่มลึกถึงระดับหนึ่งจึงจะนำไป สู่การพัฒนาตนเองของชนรุ่นหลัง  อีกทั้งมีความอดทนรวมทั้งความอดกลั้นสูงถึงระดับหนึ่ง  นอกจากนั้นยังต้องใช้จิตวิญญาณในด้านศิลปะรวมทั้งมีการตัดสินใจเด็ดขาด
ยิ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องเสี่ยงภัยอันตรายมากแค่ไหน  ตนก็ยิ่งรู้สึกท้าทายที่จะก้าวเข้าไปหามันอย่างผู้กล้าหาญ  โดยถือเอาความรักความเมตตา  รวมทั้งโอกาสในการเรียนรู้ความจริงจากใจตนเองผ่านภัยธรรมชาติเป็นครูผู้สอน
ฉันตระหนักดีอยู่เสมอว่า งานอาสาสมัครคือการพัฒนาตนเองของผู้นำปฏิบัติ  โดยเริ่มจากตัวเองไปก่อนเพื่อหวังพัฒนารากฐานจิตใจเยาวชนคนรุ่นหลังให้บรรลุ ผลสำเร็จ
เมื่อพูดถึงงานอาสาสมัครในช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึง พฤษภาคมของแต่ละปี  ซึ่งช่วงนั้นในภาคอีสานกำลังมีภัยจากคอมมิวนิสต์ที่แทรกซึมเข้ามาคุกคามทำ ร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐแทบจะทุกย่อมหญ้า  ทั้งนี้เนื่องจากฉันเป็นคนมีวิญญาณความเป็นครูอยู่ในหัวใจอย่างเต็มเปี่ยม  จึงได้ให้โอกาสแก่ลูกศิษย์ออกไปเลือกสถานที่เพื่อพัฒนาชนบทในที่ต่างๆ อย่างอิสระ ซึ่งมีชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากแสนสาหัสอย่างที่สุด  แม้ภัยอันตรายจากคอมมิวนิสต์ก็เช่นกัน  ส่วนตัวฉันเองคงมีหน้าที่เดินตามรอยเท้าลูกศิษย์  เพื่อหวังให้แต่ละคนมีโอกาสเรียนรู้จากความจริงที่อยู่ในใจตนเอง ทั้งนี้ย่อมเป็นการปลูกฝังจิตใต้สำนึกซึ่งมีความจริงเกิดขึ้นจากใจตน เองอย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เริ่มแรกของการดำเนินชีวิต  ทำให้รู้สึกได้ถึงผิดชอบชั่วดีจากการตัดสินใจของตน เพื่อหวังการเรียนรู้ที่เป็นวัฏจักรของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้บังเกิดผลดีแก่ ตนเองในอนาคต
ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งหมายถึงนิสิตแต่ละคนนั้น  ต่างก็ออกไปเลือกสถานที่ในบริเวณที่มีชาวบ้านกำลังตกทุกข์ได้ยากอย่างที่สุด แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติหรือภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่แทรกซึมอยู่ ภายในป่าลึกในขณะนั้น
สำหรับตัวฉันเองนั้นไม่ว่าบรรดาศิษย์จะไปเลือกที่ไหน  ฉันก็จะเดินทางไปร่วมใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นอย่างมีความสุข  โดยไม่เกรงความยากลำบากหรือภัยอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
ดังที่ฉันได้เคยให้สัจจะไว้แก่ทุกคนจากการปาฐกถาในที่ต่างๆ ว่า “สิ่งที่เล็กที่สุดนั้น  ย่อมหมายถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ดังนั้นสิ่งซึ่งชาวบ้านกำลังตกทุกข์ได้ยากอย่างแสนสาหัส  หมายถึงโอกาสในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาที่กล้าจะเอาชนะใจตนเองอย่างที่สุดแล้ว
ในเรื่องนี้ฉันคงไม่อาจนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเล่าให้เธอรู้ความจริงได้ทั้ง หมด  จึงขอหยิบยกเอาบางเรื่องมาเล่าสู่กันฟังเป็นตัวอย่างในการเรียนรู้  แต่ก็หาใช่ว่าจะเป็นเพียงตัวอย่างไม่  หากควรรู้ว่าตัวอย่างในแต่ละเรื่องนั้นมันเป็นตัวแทนของความจริงได้หรือ เปล่า  แทนที่จะนำเอาเรื่องราวทั้งหมดมาเล่าซ้ำๆ ซากๆ ในที่สุดก็คือเรื่องเดียวกัน  เพียงแต่ต่างกรรมต่างกาลเวลากันเท่านั้น
ในภาคอีสานช่วงนั้นกำลังมีเหตุการณ์รุนแรงเกี่ยวกับสงครามระหว่างทหาร อเมริกันกับคนเวียดนามซึ่งได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่วนทหารอเมริกันได้เข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะฐานทัพอากาศซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี  แต่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ส่งกองกำลังแทรกซึมเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย แทบจะทุกหนทุกแห่งในภาคอีสานซึ่งคนมีรากฐานจิตใจอ่อนแออยู่แล้ว  แม้กระทั่งการที่กลุ่มคนเวียดนามติดอาวุธลักลอบเข้ามาฝังระเบิดทำลายฐานทัพ อากาศที่สนามบิน จังหวัดอุดรธานี
ฉันยังจำได้ดีว่ามีนิสิตอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เข้าไปเลือก พื้นที่ในป่าลึกของบริเวณเทือกเขาภูพานอันเป็นศูนย์รวมของกองกำลังติดอาวุธ คอมมิวนิสต์  ไม่เพียงเท่านั้นในบริเวณเดียวกันยังมีค่ายอาสาสมัครจากมหาวิทยาลัยอื่นที่ เข้าไปตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง  ซึ่งตัวฉันเองก็ได้แสดงน้ำใจเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาอีกอย่างไม่เลือกที่รัก มักที่ชังอีกด้วย
ดังนั้น  ด้วยความรักความเมตตาที่มอบให้กับเยาวชนคนรุ่นหลังจากจิตวิญญาณความเป็นครู ของฉัน ค่ำคืนวันนั้นฉันเดินทางด้วยเครื่องบินดาโกต้า 2 เครื่องยนต์  บินจากกรุงเทพฯไปลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานีโดยมีลูกศิษย์ชายชั้นปีที่ 4 อีก 1 คนคือคุณ อเนก  นิ่มศรีวิลัย ติดตามไปด้วย  ซึ่งขณะนั้นสนามบินแห่งนั้นทหารอากาศอเมริกันได้เข้าไปยึดครองทำเป็นฐานทัพ อากาศเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ฉันได้บินลงไปยังสนามบินแห่งนั้น คุณวิชัย  วิบูรณ์กิจธนากร  ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รพช. ประจำภาคอีสานซึ่งมีความรักอย่างฝังจิตฝังใจอยู่กับตัวฉันรวมทั้งบรรดาลูก ศิษย์ลูกหาซึ่งเคยไปทำงานอาสาสมัครอยู่ในบริเวณกิ่งอำเภอน้ำยืน  ซึ่งเป็นเขตติดต่อจังหวัดอุบลราชธานีและชายแดนไทยเขมรได้นำรถจิ๊บไปรอรับ อยู่ที่สนามบินแห่งนั้น  อีกทั้งยังมีอาวุธสงครามแทบจะครบมือโดยมีปืนยิงเร็ว M16 ไปวางพาดไว้บนตักฉันกระบอกหนึ่ง รวมทั้งยังมีระเบิดมือผิวเปลือกน้อยหน่าอีก 3 ลูกไปกองไว้ตรงขาฉันด้วย  ส่วนตัวเธอเองนั้นมีปืนไรเฟิลซึ่งมีพลังแรงมากเสียบอยู่ที่ข้างรถจี๊บหนึ่ง กระบอก  กับมีปืนพกลูกโม่ 5 นัดเสียบอยู่ที่เอวอีกหนึ่งกระบอก
ค่ำคืนวันนั้นเรา 2 คนนั่งรถจิ๊บขึ้นไปวิ่งอยู่บนสันเขาภูพานโดยมีคุณอเนก นิ่มศรีวิลัยนั่งอยู่ด้านหลัง
ประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้  ปรากฏว่าเครื่องบินฝรั่งซึ่งบินตรวจการอยู่เหนือศีรษะได้ทิ้งพลุส่องสว่างลง มาดูว่า  “ดึกดื่นขนาดนี้ยังมีรถใครอุตริดันขึ้นไปวิ่งอยู่บนสันเขาภูพานคันเดียว” ส่วนฉันยังคงนั่งใจเย็นอยู่ในรถ  ทั้งนี้เนื่องจากตัวฉันเองมักมีนิสัยที่ตัดสินใจเด็ดขาด ลงได้คิดจะทำอะไรและทำลงไปแล้วจะไม่ยอมถอย  นอกจากอะไรจะเกิดขึ้นก็ให้มันเกิด  โดยเฉพาะจิตใจฉันเองมีความเป็นห่วงเป็นใยบรรดาคณะศิษย์ซึ่งทำงานอยู่ในป่า ลึกอย่างแน่วแน่
ขณะนั้น ฉันได้ยินเสียงคุณอเนกพูดอยู่ข้างหลังรถว่า “คุณพ่อครับ ผมหนาว”  ฉันรู้ว่าเธอกำลังมีความทุกข์หนัก  จึงได้ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่า  ใจเย็นเข้าไว้เถิดเดี๋ยวก็ไปถึงเอง”
หลังจากรถของเราได้แล่นลงมาวิ่งอยู่ในที่ราบบนถนนสายที่มุ่งไปยังจังหวัด นครพนม  แต่แล้วก่อนที่จะเลี้ยวขวาเจาะเข้าไปในป่าลึกถึง 56 กิโลเมตร ฉันสังเกตเห็นว่ามีรถบรรทุกคันหนึ่งพยายามแซงขึ้นหน้าโดยไม่คำนึงว่ารถคัน ของเราจะเดือดร้อนแค่ไหน
ฉันเหลือบไปสังเกตเห็นคุณวิชัยควักปืนพกออกมาจากเอวจ้องไปยังรถบรรทุกคัน นั้น ทำให้ฉันต้องตกใจจนกระทั่งร้องออกมาว่า “ใจเย็นๆ อย่าไปรังแกเขา”  นั่นแหละคุณวิชัยเพราะความเชื่อและเคารพรักในตัวฉันเป็นอย่างมากถึงได้ลด ปากกระบอกปืนลงแล้วเสียบกลับเข้าเอวตามปกติ

รถของเรายังแล่นฝ่าความมืดต่อมาอีกระยะหนึ่งจึงเลี้ยวขวาเจาะเข้าไปในป่าทึบลึกประมาณ 56 กิโลเมตรเห็นจะได้ก็เป็นเวลากว่าตีสองแล้ว

ในขณะนั่งรถเข้าไปถึงที่นั้น  ฉันคิดอยู่ในใจว่า  “ถ้าถูกรอบโจมตีเราก็ตายเปล่า แม้จะมีอาวุธร้ายแรงแค่ไหน ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเราไม่มีทางจะเห็นพวกเขาได้เลย  แต่เขามองเห็นเราได้ถ่ายเดียวเท่านั้น”
ส่วนอีกใจหนึ่งก็คิดว่า  คณะเราไม่ได้ไปรังแกหรือเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านนอกจากไปสร้างชีวิตให้พวกเขา มีโอกาสดี ดังนั้นเป้าหมายของคอมมิวนิสต์คงไม่คิดทำร้ายพวกเราอย่างแน่นอน
ค่ำคืนวันนั้น รถจิ๊บของเราเปิดไฟสว่างจ้าแล่นเข้าไปในบริเวณที่ตั้งค่ายอาสาประมาณเวลาตี 2 กว่า ๆ เห็นจะได้  แต่ตัวฉันเองก็ยังมีแววตาที่แข็งแกร่งวางปืนไว้บนเบาะ หลังจากนั้นจึงกระโดดลงมาอยู่ที่พื้นดิน ปรากฏว่ามีนิสิตที่เป็นสมาชิกค่ายจำนวนหนึ่งเข้ามารับไปอุ้มเอาไว้ภายในอ้อม กอดของพวกเขา  หลังจากนั้นจึงแห่ไปรอบๆ ค่ายจนกระทั่งรู้สึกว่าแทบไม่มีใครเหลือนอนหลับอยู่ในเต็นท์แม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างออกมาแย่งกันอุ้ม หลังจากนั้นก็นำแห่ไปรอบๆ แต่สายตาของฉันก็ยังไม่ละลดที่จะสอดส่ายสายตาไปดูยังบริเวณรอบด้านว่า นิสิตของเราได้ทำงานร่วมไปแค่ไหนแล้วประกอบกับทุกคนต่างก็อยากให้ฉันไปดูผล งานของเขาจึงแย่งชิงกันอย่างอุตลุด  ทำให้ลืมความรู้สึกในขณะที่ยังเดินทางอยู่ในป่าไปอย่างสิ้นเชิง
คืนนั้นกว่าจะเข้านอนก็ร่วมตี 5 ไม่เพียงเท่านั้นฉันยังแทรกตัวนอนอยู่บนผืนผ้าใบที่ปูราบอยู่กับพื้นดินภาย ในเต็นท์ชายเสมือนเป็นพ่อกับลูกที่มีใจผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง
ส่วนคุณ วิชัย  วิบูลกิจธนากร คนนี้ได้มีจิตใจผูกพันอยู่กับนิสิตค่ายอาสาสมัครของเราเสมือนเป็นพี่น้อง ท้องเดียวกัน อีกทั้งคุณวิชัยคนนี้ยังมีบ้านพักอยู่ที่อำเภอวารินทร์ชำราบ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณริมฝั่งลำน้ำมูล หลังข้ามสะพานไปจากอำเภอเมืองไม่นานนักมีซอยแคบๆ เลี้ยวเข้าไปทางขวาและไปจรดลงที่ริมแม่น้ำ  ซึ่งขณะนั้นยังมีสภาพที่ค่อนข้างเปลี่ยว
คืนวันนั้น  ระหว่างอยู่ในค่ายจนกระทั่งถึงเวลาเช้าตรู่พอฟ้าเริ่มสางตัวฉันเองก็ปีนขึ้น ไปอยู่บนหลังคาโรงเรียนที่พึ่งสร้างยังไม่ทันเสร็จเพราะยังไม่ได้มุงหลังคา  คงมีแต่โครงสร้างซึ่งทำด้วยไม้
ฉันขึ้นไปนั่งตีหลังคาสังกะสีลูกฟูกอยู่ด้านบนโดยมีทวี  อาสาเครุ่นพี่คนหนึ่งนั่งช่วยฉันอยู่ใกล้ๆ  ส่วนด้านล่างมีนิสิตหญิงชั้นปีที่ 1สามคน คนหนึ่งชื่อ จนิต อีกคนหนึ่งชื่อ จิต อีกคนหนึ่งเป็นรุ่นเดียวกันแต่ยืนอยู่ห่างๆ ในระยะที่ส่งแผ่นสังกะสีถึงกันได้  ในที่สุดแผ่นสังกะสีเหล่านั้นก็ขึ้นไปถึงมือฉัน
ภาพนี้ยังปรากฏต่อมาอีกนานรวมทั้งยังแพร่กระจายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นๆ
ท่านอาจารย์เจตนา  นาควัชระ  แห่งมหาวิทยาลัยศิลปากรได้ปรารภกลางที่ประชุมว่า “ท่านอาจารย์ระพี  สอนลูกศิษย์แบบตักศิลา”
เรื่องนี้หากพูดต่อไปก็คงจะยืดยาวมาก  ดังนั้นฉันจึงขอตัดเข้ามาสู่เส้นทางที่ย้อนกลับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
หลังจากคณะเราเสร็จงานแล้วจึงมุ่งหน้ากลับ  แต่คณะของฉันจำเป็นต้องกลับออกมาก่อน  ทั้งนี้เพื่อเผื่อแผ่จิตใจแห่งความเมตตากรุณาให้แก่ค่ายอื่นๆ อย่างทั่วถึง

ชาวค่ายเขามีพิธีส่งซึ่งปรากฏว่าตัวฉันเองและคณะทุกคนยืนอยู่กลางวงล้อม  สำหรับคณะทั่วไปต่างก็ยืนล้อมรอบใช้มือเกี่ยวซึ่งกันและกัน  หลังจากนั้นจึงร้องเพลงความรักความสามัคคีจากการทำงานร่วมกันด้วยความอาลัย รัก  ปรากฏว่าต่างก็เข้ามารุมล้อมกอดฉันกันอย่างมะรุมมะตุ้ม  ฉันเห็นน้ำตานองออกมานอกหน้าทั้งหญิงและชายอย่างไม่ละเว้น
หลังจากนั้น  คณะของฉันก็เดินทางกลับมาพักแรมอยู่ที่บ้านคุณวิชัย  วิบูลกิจธนากร อีกคืนหนึ่ง
เธอเชื่อหรือไม่ว่า  ตัวฉันเองมีความกล้าหาญอยู่ภายในจิตวิญญาณที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างแบบสวนทิศ ทางกันกลับสังคมจากจิตใจตัวเองที่มีศิลปะในการนำปฏิบัติด้วยความมั่นคงเข้ม แข็งอยู่เสมอ  เพื่อให้ถูกต้องตามประเพณีนิยมโดยไม่เกรงปัญหาในเรื่องใครจะว่าร้าย  เนื่องจากคิดว่าในที่สุดเขาก็จะรู้ความจริงได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ

มาถึงบัดนี้เวลามันก็ล่วงเลยมาหลาย 10 ปีแล้ว  ฉันจะบอกความจริงให้ก็ได้ว่า  ค่ำคืนวันนั้นห้องนอนที่คุณวิชัยและภรรยาได้ใช้นอนพักผ่อนมันมีอยู่ห้อง เดียวและเตียงนอนก็มีอยู่เตียงเดียวแต่เป็นเตียงนอนคู่ที่สามารถนอนได้ 2 คนอย่างสบาย
คืนวันนั้น  คุณวิชัยและภรรยาได้สละห้องนอนให้กับฉันอีกทั้งยังมีลูกศิษย์หญิงชั้นปีที่ 4 อีก 2 คนซึ่งจะต้องขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ส่วนคุณวิชัยกับภรรยานั้นได้ออกไปนอนอยู่ที่ระเบียงด้วยความเคารพรักและ นับถือฉันเสมือนพ่อของเขา
คืนวันนั้นเธอเชื่อหรือเปล่าว่า  เพราะนิสัยซึ่งตั้งมั่นอยู่กับการเอาชนะใจตัวเองของฉันนี่แหละ  ถึงขั้นที่ฉันซึ่งเป็นอธิการบดีขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับลูกศิษย์ หญิงอีก 2 คนโดยระวังไม่ให้มีการแตะเนื้อต้องตัวกันแม้แต่น้อยจนกระทั่งรุ่งสว่าง
สิ่งนี้หรือมิใช่  ถ้าฉันไม่มีศิลปะอยู่ในจิตวิญญาณ  อีกทั้งขาดความเชื่อมั่นจากผู้อื่นอย่างเด่นชัดก็คงไม่อาจที่จะกำหนดกระบวน การเรียนรู้จิตใจตัวเองได้อย่างลึกซึ้งถึงหลักธรรม
ซึ่งหลักธรรมบทนี้  ก็ได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า   ถ้าจิตใจเราดีก็ย่อมนำปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ  แม้แต่กฎระเบียบรวมทั้งกฎหมายย่อมไม่มีความหมายที่จะนำออกมาใช้บังคับใครต่อ ใครให้เกิดความทุกข์หนักอยู่ในโลกใบนี้
ซึ่งวิธีนี้ไม่เพียงแต่กิจกรรมการออกค่ายอาสาเท่านั้น หากการที่ฉันสนใจลงมาคลุกคลีอยู่กับลูกศิษย์โดยถือรากฐานจิตใจตนเองเป็นหลัก สำคัญ  จากเหตุดังกล่าว  แม้แต่การบริหารงานการศึกษาบนพื้นฐานวิชาการ  ตัวฉันเองก็ไม่ได้ยึดถือเกรดคะแนนเป็นตัวชี้วัด หากเป็นเพราะฉันใช้จิตวิญญาณความเป็นครูที่คลุกคลีอยู่กับลูกศิษย์อย่างลึก ซึ้งโดยไม่ถือเขาถือเรา  ก่อนที่จะลงนามรับรองการจบปริญญาเพื่อออกไปสู่อนาคต ฉันยังไม่สนใจที่จะใช้เกรดคะแนนการเรียนเป็นเครื่องมือชี้วัดถึงคุณภาพของ ชีวิตลูกศิษย์  หากใช้จิตวิญญาณความเป็นครูกับศิษย์ซึ่งถือหลักเอาใจเขาใส่ใจเราเป็นมาตรฐาน
แม้แต่ลูกศิษย์บางคนซึ่งถูกคัดชื่อออกมาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพราะเกรด คะแนนการเรียนต่ำ อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้มายืนใช้จอบถากหญ้าอยู่ร่วมกับฉันภายในบริเวณค่ายอาสาในหมู่บ้านภาค อีสานแห่งหนึ่ง  ขณะนั้นเขาได้พูดกับฉันว่า “พบเห็นเพื่อนๆ เขาเรียกอาจารย์ว่าคุณพ่อ   ผมไม่เห็นจะต้องเรียกเพราะคุณพ่อผมก็มี”
ขณะนั้น หลังจากรับฟังแล้วฉันเกิดความรู้สึกนิยมชมชื่นโดยที่คิดว่านิสิตคนนี้เขามี คุณสมบัติที่ดี  เพราะเหตุว่ากล้าพูดความจริงกับผู้ใหญ่ ถ้าหากฉันไม่ได้เป็นคนมองการณ์ไกลก็คงจะกล่าวหาว่าเขาเป็นคนอวดดีหรือหัว แข็ง
คืนวันนั้นเราปูผ้าใบนอนบนพื้นดินร่วมกัน ปรากฏว่าต่างคนต่างคุยกันอย่างสนุกสนานเนื่องจากเปิดใจเข้าหากันอย่างมีความ สุข เธอรู้หรือเปล่าว่า เช้าวันรุ่งขึ้นอะไรมันเกิดขึ้น ฉันรู้สึกประหลาดใจมากเนื่องจากเช้าวันนั้นนิสิตคนนี้เขาเริ่มคำพูดประโยค แรกว่า “คุณพ่อครับ”

นี่เป็นอุทาหรณ์สอนคนที่เป็นครูให้รู้ว่า “การเอาชนะใจคนด้วยความดีนั้น  ย่อมได้รับผลสำเร็จอีกทั้งยังได้รับจิตใจ”
ยิ่งไปกว่านั้น  หลังกลับจากการออกค่ายแล้วฉันยังได้ให้ความสนใจแก่นิสิตคนนี้เป็นพิเศษ  ทั้งนี้โดยที่สังเกตเห็นว่า  ผลจากเขียนรายงานการออกค่ายอาสาเพื่อบันทึกลงไว้เป็นหลักฐาน ปรากฏว่าเขาทำอย่างเป็นระบบอีกทั้งยังมีข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเด่น ชัด
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้  ถ้าครูอาจารย์มีนิสัยยึดติดอยู่กับรูปแบบตำราซึ่งเป็นเพียงแผ่นกระดาษกับตัว หนังสือ  แถมยังนำเอารูปแบบซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติมากำหนดวิถีชีวิตอนาคตของชนรุ่น หลัง
นี่เป็นตัวอย่างกรณีหนึ่งซึ่งสรุปได้ว่า  การเรียนในห้องโดยยึดตำราซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติ  สถาบันการศึกษาก็คงไม่อาจที่จะคัดคนดีมีคุณภาพได้อย่างถูกต้อง
จากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว  จึงถือเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ฉันไม่สนใจพิจารณาเกรดคะแนนการเรียนเหนือไป กว่าการใช้ชีวิตร่วมกับลูกศิษย์ซึ่งมีทั้งปฏิภาณและมีจิตวิญญาณที่อิสระทำ ให้บังเกิดปัญญาเหนือกว่าอิทธิพลจากรูปวัตถุ  ทำให้สามารถวิเคราะห์และค้นหาเหตุผลได้อย่างชัดเจนให้เชื่อมั่นได้
ยิ่งไปกว่านั้นนิสิตคนนี้หลังจากผ่านหลักสูตรปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ไปแล้ว  เขายังไปสมัครสอบคัดเลือกเข้าทำงานในฝ่ายวิชาการของธนาคารแห่งประเทศไทย  อีกทั้งยังสอบรับทุนมูลนิธิฟูลไบรด์ไปศึกษาปริญญาเอกต่อที่ฮาวายได้สำเร็จ อีกด้วย
มาถึงบัดนี้เป็นที่หน้าเสียใจที่คุณวิชัย  วิบูลกิจธนากร ซึ่งเป็นคนหนุ่มซึ่งฉันรักเสมือนลูก  ซึ่งเธอได้จากโลกใบนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งลงลำไส้ตั้งแต่วัยยังไม่ควร  ไม่เช่นนั้นแล้วสังคมไทยก็คงจะได้คนที่มีความรู้ความสามารถและมีความฉลาด เฉลียวในการดำเนินชีวิต รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงโดยไม่เกรงภัยอันตรายใดๆ ทั้งสิ้นอีกคนหนึ่ง ถ้าบทความเรื่องนี้อำนวยประโยชน์ในการสร้างสรรค์การศึกษาที่ดีงามให้แก่ชน รุ่นหลัง  รวมทั้งครูบาอาจารย์ผู้แสวงหาคุณธรรมและจริยธรรม  ฉันขออำนาจแห่งธรรมะจากการปฏิบัติทั้งหมด จงดลบันดาลให้ดวงวิญญาณของคุณวิชัย  วิบูลกิจธนากร รวมทั้งบรรดาลูกๆ เกษตรอีก 4 คน ซึ่งเสียชีวิตภายในอ้อมอกฉันซึ่งคนหนึ่งจมน้ำตายอยู่ที่เกาะลอยของลำน้ำมูล  จังหวัดอุบลราชธานี  อีกสองคนรถคว่ำเสียชีวิตอยู่ในเขตจังหวัดหนึ่งของภาคอีสานตั้งแต่ยังเป็น กิ่งอำเภอ  และอีกคนหนึ่งจมน้ำเสียชีวิตอยู่กลางบึงจังหวัดพิษณุโลก และต้องขอแสดงความขอบคุณของบรรดาพ่อแม่ของนิสิตเหล่านี้ที่จำต้องเสียลูก รัก  หากหลังจากนั้นได้หวนกลับมาแสดงความขอบคุณต่อฉันซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการบดี  ทั้งนี้เพราะฉันได้ใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการเอาชนะใจคนจากคุณงามความดีของตน เอง ระหว่างการปฏิบัติงานออกค่ายอาสาและรวมทั้งทัศนศึกษาเท่าที่ได้ผ่านพ้นมา แล้ว ขอจงไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญ  ซึ่งฉันจะไม่มีวันลืมเธอเลยในช่วงชีวิตนี้
อนึ่ง ความจริงแล้วยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคใต้  โดยเฉพาะที่กิ่งอำเภอนาสาน  จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันนั้นท่านผู้หญิงวิภาวดีรังสิต  ซึ่งอัญเชิญเครื่องพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไปมอบแด่ทหารผู้กล้าหาญที่นั้นและถูกยิงเสียชีวิตในขณะที่เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ลดระดับลงมาอยู่ต่ำ  และนามของท่านผู้หญิงวิภาวดีรังสิตก็ได้ถูกจารึกเอาไว้บนถนนจากกรุงเทพฯไป สู่จังหวัดภาคเหนือว่า“ถนนวิภาวดีรังสิต”
ก่อนหน้าเหตุการณ์ครั้งนั้นเพียง 7 วัน  ฉันได้ไปใช้ชีวิตร่วมกับนิสิตอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่ในป่า ลึกภายในบริเวณนั้นด้วย  โดยไม่รู้ว่าในอนาคตอันใกล้จะเกิดอะไรขึ้น
บทความเรื่องนี้  คือความจริงที่ฉันลิขิตไว้ด้วยหยดน้ำตาแทนน้ำหมึก  เพื่อมอบให้แก่นิสิตทุกคนซึ่งมีจิตวิญญาณทำงานมอบให้แก่แผ่นดินถิ่นเกิดของ ตัวเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยั่งยืนมาตลอด
สรุปแล้วหมายถึงการบริหารงานด้วยชีวิตระหว่างครูกับศิษย์ที่ไม่เคยคิดทำร้าย ใคร  คงมีแต่ให้กับให้จากรากฐานจิตใจตนเองด้วยความบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอด
20  ธันวาคม  2552

แก้ไขปรับปรุงวันที่ 21 สิงหาคม  2553

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *