ฤากล้วยไม้จะใกล้ม้วย เพราะแม่คงคาพิโรธ

หวนกลับไปนึกถึงช่วงปี พ.ศ.2472ซึ่งขณะนั้นฉันมีอายุเพียง 7ขวบ ฉันได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเอากล้วยไม้มาเป็นของเล่น แถมยังดูถูกเด็กและชาวบ้านว่ามือเอื้อมไม่ถึง

นี่แหละที่มันปลุกจิตวิญญาณของฉันให้ลุกขึ้นมาสู้กับความอยุติธรรมตั้งแต่บัดนั้น

ธรรมชาติของมนุษย์นั้น เมื่อสิ่งนี้เป็นยังไงสิ่งอื่นมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นชีวิตที่ผ่านพ้นมา เมื่อเห็นอะไรที่มันไม่ชอบธรรมฉันจะลุกขึ้นมาต่อสู้บนพื้นฐานศิลปะที่อยู่ในวิญญาณตนเองอย่างเต็มที่

แต่เพราะมีศิลปะนี่แหละ ที่ฉันไม่คิดทำร้ายคนอื่น คงมีแต่การอ่อนน้อมถ่อมตนจนเป็นนิสัย ส่วนในรากฐานจิตใจนั้นคงมีความเข้มแข็งอดทนมาตลอด

อนึ่ง การที่ฉันเริ่มต้นจับงานกล้วยไม้ ทั้งๆ ที่สังคมไทยไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและเป็นขอเศรษฐีที่เอากล้วยไม้มาดูถูกคนอื่น ฉันกลับนำเอาชีวิตคนตะวันออกมาพิจารณาร่วมกับชีวิตคนตะวันตกซึ่งแตกต่างกันเช่นเดียวกันกับ เครื่องตาช่าง ซึ่งมีการเคลื่อนไหวสู่ด้านตรงกันข้าง

ฉันรู้สึกว่าคนตะวันตกนั้น พอถึงเวลา 9โมงเช้าเขาจึงเริ่มทำงาน พอถึงเวลา 4โมงเย็นก็จะเลิกงาน ถ้าใครมีปัญหามารบกวนก็มักอ้างว่า เป็นเวลาส่วนตัว

อนึ่ง ฉันเป็นห่วงเศรษฐกิจของบ้านเมืองมาตั้งแต่เล็ก และคิดว่าชีวิตคนตะวันออกไม่ควรเรียนแบบตะวันตก ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างก็จะต้องทำงานให้นักยิ่งกว่าเก่า เพื่อยกระดับเศรษฐกิจให้สูงยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเรื่องเงินๆ ทองๆ นอกจากความคิดและสติปัญญา

นี่แหละ เมื่อฉันมีอายุยังไม่ถึง 30ปี ขณะนั้นแม้รายได้ส่วนตัวจะมีน้อย การศึกษาค้นคว้าเรื่องกล้วยไม้ กระทั่งการสร้างโรงเรือนก็เก็บเศษไม้มาทำ อีกทั้งเมื่อได้ความรู้แล้วฉันก็สู้ใช้เวลาเย็นๆ ค่ำๆ เดินทางมาเปิดสอนให้คนเรียนรู้ความจริงเรื่องกล้วยไม้

พอดีกันกับคนทั่วไปเริ่มศรัทธาในอุดมการณ์ที่ฉันสะท้อนออกมาปรากฏ ซึ่งทำให้เขาเหล่านั้นให้ความร่วมมืออย่างกว้างขวางโดยเริ่มต้นจากการให้ยืมห้องประชุมโดยไม่คิดเงินแม้แต่น้อย ซึ่งในช่วงนั้นตัวฉันเองก็ยังรู้แบบงูๆ ปลาๆ ถามใครก็ไม่ยอมบอก

ฉันสู้ศึกษาค้นคว้าอยู่ในบ้านส่วนตัว แม้เครื่องมือเครื่องใช้ก็เก็บมาจากพื้นดิน เอามาประดิษฐ์คิดค้นให้มันใช้ได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ฉันก็พบว่าคนอื่นเขาหวงวิชา ฉันได้ตั้งปณิธานเอาไว้ว่า “ถ้ารู้ความจริงจะนำออกมาเปิดเผยให้หมด”

สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี่แหละมันทำให้ฉันเกิดศัตรูอยู่ข้างหลังมาตลอด แต่คิดว่าตัวเองมีบุญ “เพราะมีศัตรูจึงมีพลังขับเคลื่อนสูงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ”

ในช่วงนั้น บังเอิญมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จัดตั้งสำนักส่งเสริมการเกษตร แต่ไม่มีสถานีวิทยุ ดร.เจือ สิทธิวานิช จึงมาหาฉันแล้วแจ้งว่า ทางสำนักส่งเสริมได้ไปขอใช้สถานีวิทยุกองบัญชาการกองพลที่ 1เพื่อฝึกนิสิต ครั้นไม่มีครูอาจารย์จึงมาขอให้ฉันไปออกรายการเพื่อเป็นแบบอย่างที่นั่น

ตัวฉันเองมีเสน่ห์ ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนมักมีคนรัก ฉันไปทำรายการอยู่ที่นั่นร่วม 2ปี คุณโกชัย และทีมงานของเธอเกิดความสนิทสนมกันกับฉัน จนกระทั่งแยกกันไม่ออก ครั้นมีสถานีวิทยุ มก. เป็นของตัวเอง ฉันเลยไปติดอยู่ที่นั่นเพราะกลับไม่ได้

ช่วงนั้นชาวสวนกล้วยไม้ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ ตำบลหลักสอง เขตบางแค เป็นกลุ่มแรกซึ่งมีคณะครูประชาบาลรวมตัวกันผลิตกล้วยไม้ตัดดอกเป็นแห่งแรก ในขณะที่คนในสังคมยังมีทัศนะที่มองว่า “กล้วยไม้เป็นของเศรษฐี”

ครูกลุ่มนั้นมีครูใหญ่ที่ชื่อ ครูบุญมา รัตนถาวร เป็นผู้บุกเบิก

เธอถึงกับกล่าวว่า ไม่ว่าเย็นวันไหนมีธุระกับใครจะต้องพกเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ติดตัวไปด้วย เพราะไม่ต้องการขาดรายการของฉัน

ช่วงนั้น เกิดมีคนจีน 2คน ที่เคยทำสวนผักอยู่ใน อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี

คนหนึ่งชื่อ คุณเอ็น.พี.ลี. ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ คุณลิ้มกิมยู้ ทั้งคู่รับดอกไม้จากชาวสวนส่งไปขายที่เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี

ในช่วงนั้น กล้วยไม้ตัดดอกมีอยู่ชนิดเดียวเท่านั้นคือ หวายลูกผสมที่ชื่อ “ปอมปาดูร์” ซึ่งพ่อแม่พันธุ์อยู่ในเอเชียเขตร้อน แต่เอาไปผสมในฝรั่งเศส ส่วนคนไทยในเขตร้อนซึ่งได้แก่ เศรษฐีเมืองไทยสั่งมาเล่นประกวดประขันกันเป็นการประดับบารมีของคนมีเงิน

เพราะเหตุว่า คนกลุ่มนี้เอามาแข่งขันกันเอง ในที่สุดปริมาณมันก็ล้นจนกระทั่งราคาตกมาก และกลายเป็นไม้ตัดดอกชนิดแรกของเมืองไทยที่ส่งไปขายเมืองนอก

เพราะการจัดการศึกษาของไทยไม่ได้สร้างคนให้เกิดความรักความสามัคคี หากสร้างคนให้แข่งขันกันเอง นี่แหละที่เริ่มต้นทำให้ฉันรู้สึกว่า “การจัดการศึกษาของเรามันใช้ไม่ได้” แต่ฉันก็เก็บมันไว้ในจิตใต้สำนึก เพราะยังไม่ถึงเวลาจะออกมาปฏิบัติเพื่อต่อสู้กับการศึกษาแบบเก่าที่ขาดเหตุและผล

ช่วงนั้น ฉันจำได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างฉันลงมือทำด้วยตัวเองมาอย่างมุ่งมั่นโดยไม่ท้อถอย

ฉันยังจำได้ว่า ในบริเวณบางแค สภาพแวดล้อมส่วนใหญ่มีแต่สวนไม้ดอกที่ใช้ถวายพระ เช่น ดอกรัก ซ่อนกลิ่น ดอกมะลิ นอกจากนั้นยังมีลำคลองตัดกันเป็นร่างแห อีกทั้งริมลำคลองยังมีต้นมะพร้าวขึ้นเป็นทิวแถว

แทบทุกวันเสาร์-อาทิตย์ฉันจะนั่งเรือหางยาวไปตามลำคลอง เพื่อไปส่งเสริมเผยแพร่ความรู้แก่ชาวสวนเป็นประจำ หรืออาจกล่าวว่า ตัวฉันเองต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ท้อถอยแม้แต่เก้าเดียว ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ฉันทำงานอย่างมีความสุข ถ้าจะถามว่ามีคนมาจ้างให้ทำหรือเปล่า

คำตอบก็คือ เทวดาที่อยู่ในใจเราเองนั่นแหละมากระซิบอยู่ตลอดเวลาว่า “เจ้าจงทำสิ ทำแล้วจะได้ความสุข”

อนึ่ง ฉันไม่คิดเลยว่าคนไทยส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่จะคิดสร้างสมคุณงามความดีให้แก่สังคม นอกจากแอบแฝงเอาสิ่งสกปรกเข้าไปไว้ในใจ จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะของแผ่นดิน ซึ่งนับวัน นับเวลา นาที วินาที มันจะมีขยะเพิ่มมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

ถ้าไม่มีขยะในใจ ขยะในน้ำย่อมไม่มีอย่างแน่นอน เพราะน้ำที่ระเหยขึ้นไปสู่อากาศแล้วกลายเป็นฝนตกลงมาให้กับมนุษย์ คือน้ำกลั่นดีๆ นี่เอง แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ก็ไม่สามารถดื่มได้เพราะขืนดื่มเข้าไปต้องตายแน่ๆ

ฉันรู้ดี เพราะขณะนี้อายุจะ 90ปีอยู่แล้ว แต่ฉันจำได้ว่า เมื่ออายุ 5-6ขวบนั้น คนแต่ก่อนเขาดื่มน้ำฝนกันอย่างเอร็จอร่อย หลายคนพูดว่า มันชื่นใจ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าดื่มเข้าไปอาจเป็นมะเร็งตายเพราะกัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากกิเลสของมนุษย์

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27ธันวาคม พ.ศ.2554ฉันกับคุณศักดิ์ชัย กาย ได้นั่งเรือหางยาวเข้าไปเยี่ยมชาวสวนกล้วยไม้ในคลองบริเวณซึ่งถูกน้ำท่วม หลายคนแทบจะหมดเนื้อหมดตัวอย่างน่าสงสารที่สุด

เธอเหล่านั้น พอเห็นหน้าฉันบางคนยิ้มอย่างมีความสุข แต่บางคนยกมือไหว้ มีบางคนชูกล้วยไม้ที่เหลือเพียงต้นเดียวอยู่ในมือของเธอ นี่แหละคือความหลากหลายอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ

ฉันไม่อยากจะบอกว่า มันเป็นภัยพิบัติน้ำท่วม แต่ฉันอยากจะบอกว่ามันเป็นภัยพิบัติของการกระทำของมนุษย์เอง ซึ่งมีรากฐานของจิตใจที่พกเอาขยะเข้าไว้

ขณะที่นั่งเรือ สายตาของฉันทั้งคู่ได้มองไปเห็นขยะแต่ฉันได้มองด้วยปัญญาที่เห็นขยะในใจมนุษย์ซึ่งมันร้ายกว่าอะไรทั้งหมด

เธอลองคิดดูก็แล้วกันว่า จะมีสักกี่คนที่จะใช้เวลาว่าง ลงไปทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์ แต่พอแม่คงคาพิโรธเพราะมนุษย์ทำน้ำสกปรก หลายคนก็ร้องโวยวาย

ฉันพยายามให้ความเมตตาแก่ทุกคน เมื่อกล่าวมาถึงบัดนี้ ฉันนึกถึงหญิงจีนคนหนึ่งซึ่งมีลูกชายทำสวนกล้วยไม้ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย จนกระทั่งตั้งเนื้อตั้งตัวได้อย่างดียิ่ง

หญิงจีนคนนั้นได้พูดกับฉันด้วยปรัชญาที่น่าสนใจมาก เธอสอนลูกชายว่า “กล้วยไม้ดอกเดียวที่มันตกหล่นอยู่บนพื้นดิน ขออย่าได้เอาเท้าไปเหยียบ เพราะมันช่วยให้ชีวิตเติบโตขึ้นมาได้”

เพราะฉะนั้นคำว่า”แหลมทองของไทย” เธอเคยคิดกันบ้างไหมว่าแผ่นดินผืนนี้มันเคยเป็นทะเลมาก่อน

ส่วนน้ำมันก็พัดจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ปีแล้วปีเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งคนจีนอพยพลงมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ และทำเกษตรอยู่บนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผลนานาชนิด

จนกระทั่งมีภาษิตโบราณกล่าวว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”

เมื่อหน้าดินที่เต็มไปด้วยใบไม้ผุ รวมทั้งซากสัตว์ทับทมจนกลายเป็นปุ๋ยหมัก น้ำมันไม่ได้พึ่งพัดมาปีนี้ แต่กี่ร้อยกี่พันปีมาแล้ว เหตุไฉนเราจึงไม่นึกถึงบุญคุณของน้ำ หากกลับทำจิตใจสกปรกน่ารังเกียจซึ่งมีจิตใจอกตัญญูต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของตนเอง

คนจีน หรือคนไทย ก็เชื้อสายเดียวกัน ไม่เชื่อเธอลองสืบสานกลับไปสู่อดีตว่า มีใครบ้างที่ไม่ใช่เชื้อจีนมาก่อน

แต่เพราะช่วงที่ผ่านมาเราอยู่อย่างลืมตัวจึงลืมไปว่า ตัวเราเองมีเชื้อชาติเป็นอะไรมาก่อน

เมื่อไม่นานมานี้ฉันไปเดินอยู่ที่ เยาวราช คำว่า เยาวราชนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะพระเจ้าแผ่นดินไทยในอดีต ท่านได้ทรงมีพระราชดำหริสร้างเอาไว้ให้เป็นสมบัติของคนจีนกับคนไทย ที่มีเหตุมีผลสัมพันธ์ถึงซึ่งกันและกัน

เยาวราชคือ ตลาดเกษตรสำคัญของท้องถิ่น ซึ่งเราควรรักษาเอาไว้เป็นสมบัติของแผ่นดินให้ดีที่สุด “โปรดอย่าคิดทำลายเลยนะคุณทั้งหลาย ไม่เช่นนั้นแล้วคุณอาจถูกปรามาสว่า เป็นคนลืมชาติก็ได้”

เธอลองดูก็แล้วกันว่า ขณะนี้ฉันมีอายุแค่ไหน แต่เพราะมีจิตใต้สำนึกที่รำลึกถึงความจริงของแผ่นดินผืนนี้ ซึ่งมีทั้งราชประเพณี และความสัมพันธ์ในด้านอาชีพ ซึ่งถ้าเราแต่ละคนไม่คิดสู้เพื่อความชอบธรรมของแผ่นดินแล้ว ก็อย่าเกิดมาบนแผ่นดินผืนนี้น่าจะดีกว่า ฉันกราบขออภัยที่กล่าวออกมาตรงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้คือความจริงทั้งสิ้น

เพราะฉันเคารพความจริงมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงบัดนี้ วัยวุฒิมันไม่สำคัญเท่าความจริงที่อยู่ในใจเราเอง

ขอให้ทุกคนที่ปฏิบัติได้ประสบความสำเร็จในชีวิตตลอดไป

ระพี สาคริก

28 พฤศจิกายน 2554

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *