Blog

วัฏจักรชีวิต

เธอที่รักทุกคน โลกใบนี้คือดาวพระเคราะห์ซึ่งแตกออกมาจากดวงอาทิตย์ ครั้นเย็นลงจึงเกิดชีวิตเล็กๆ ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวขึ้นในน้ำ หลังจากนั้นจึงขึ้นมาอยู่บนบกแล้วมีวิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นรูปแบบต่างๆ จนกระทั่งเป็นมนุษย์ ส่วนอีกด้านหนึ่งได้แก่ พืช ซึ่งโลกได้ให้มาเพื่อใช้เป็นอาหารรวมทั้งยารักษาโรคแก่ชีวิตสัตว์ สัตว์ อันได้แก่ มนุษย์ ซึ่งเป็นที่สุดแล้วของชีวิตที่เคลื่อนที่ได้ รวมทั้งมีจิตวิญญาณซึ่งเป็นกุญแจสำคัญกำหนดการเรียนรู้ ในที่สุดชีวิตมนุษย์ก็มาถึงจุดทำลายตัวเอง อันถือได้ว่าเป็นที่สุดแล้วของวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน บางคนทุกข์หนักถึงกับอ้างว่า ตนไม่ได้ทำความชั่วแต่เหตุไฉนจึงต้องมารับเคราะห์กรรมด้วย ความจริงแล้วมีเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่ง สำหรับคนที่สร้างคุณงามความดีถึงระดับหนึ่งแล้ว ย่อมไม่กลัวตาย เพราะเข้าใจได้ว่า การเกิดการตายนั้นมันเป็นของธรรมดาสำหรับชีวิต ถ้าเราทำความดีมาในอดีตถึงระดับหนึ่ง การตายย่อมไปสู่ความสุข ขณะนี้ เวลา อันหมายถึง พุทธกาล ได้เลยกว่ากึ่งหนึ่งมาแล้ว เพราะฉะนั้นความสับสนวุ่นวายซึ่งมีมนุษย์เป็นเหตุ มันจะเพิ่มองศาความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ คงไม่มีอำนาจใดๆ จะมาหยุดได้ แต่อำนาจที่อยู่ในใจมนุษย์นั้นสามารถหยุดได้ เพราะสร้างคุณงามความดีเอาไว้ บนพื้นฐานความเป็นผู้รู้ถึงความจริง ดังนั้นไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ที่รู้ความจริงย่อมไม่ทุกข์ เมื่อไม่ทุกข์ก็ย่อมมีแต่ความสุข ดังนั้นภาวะจบสิ้นมันจึงไม่ได้อยู่ข้างนอก หากอยู่ในจิตใจของทุกคนอันเป็นที่สุดแล้ว แม้แต่น้ำท่วมซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาสดๆ ร้อนๆ มันก็เกิดจากรากฐานจิตใจมนุษย์ที่ขาดคุณงามความดี ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้าน ดังนั้น ความจริงจึงชี้ไว้ว่า “เมื่อไม่มีด้านนั้นก็ย่อมมีด้านนี้” ดังนั้น “เมื่อสังคมไม่มีคนดี ก็ย่อมมีคนที่ขาดความรู้จริงจากใจตนเอง” นอกจากน้ำท่วมแล้ว อาจมีแผ่นดินไหวหรือมีอะไรต่อมิอะไรติดตามมาอีก เพราะแผ่นดินไหวมันก็เกิดจากกิเลสมนุษย์ […]

By admin | บทความ
DETAIL

สื่อมวลชน

หวนกลับไปนึกถึงช่วงปี พ.ศ.2532 ซึ่งขณะนั้นฉันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ในกระทรวงเกษตร บรรยากาศภายในห้องทำงานของฉันไม่มีเครื่องประดับอะไรหรูหรา คงมีแต่ผ้าปูพื้นห้องเพียงชิ้นเดียว แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง จะเห็นความจริงว่ามีสื่อมวลชนเข้าไปนั่งคุยกันอยู่ในนั้นอย่างมีความสุข ฉันนึกถึงหลักธรรมบทหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า แม้ด้านนอกเราจะเห็นคนแตกต่างกันอย่างหลากหลาย แต่ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติ ส่วนภายในจิตใจเราเองซึ่งหมายถึงจิตใต้สำนึก ฉันรำลึกอยู่เสมอว่า ทุกคนต่างก็เป็นคนเหมือนกับเรา ยิ่งไปกว่านั้น คน ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อ เขาช่วยหาข้อมูลให้เราได้รู้ เพราะฉะนั้น การที่มีลูกหลานมานั่งคุยกัน จึงทำให้ฉันได้รับประโยชน์ เพราะคนเหล่านี้ช่วยรายงานให้ฉันรู้หลายสิ่งหลายอย่างซึ่งมันอยู่ไกลตัวเรา ฉันนึกถึงคติธรรมอีกบทหนึ่งว่า “ทุกคนเกิดมาก็มาจากต่างถิ่นต่างที่ แถมยังเลือกเกิดไม่ได้ เมื่อมาพบกันจึงนับว่าโชคดีเหลือหลาย เราจึงควรรักษาน้ำใจกันไว้ดีกว่า” คตินี้ฉันจึงขอนำฝากผู้ใหญ่ที่มีโอกาสได้ขึ้นไปอยู่ด้านบนได้นำไปใช้ ถ้าใครปฏิบัติได้ย่อมเป็นบุญอย่างเป็นธรรมชาติ ในอดีตมีสื่อมวลชนหลายคนที่เข้ามาสู่ชีวิตของฉัน ปรากฏว่า ฉันได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในงานมงคลสมรสไปหลายต่อหลายคนแล้ว และอีกไม่ช้าไม่นานก็ยังมีอีก นี่คือบุญกุศลที่สั่งสมมาในอดีต ขอให้ทุกคนที่นำปฏิบัติได้จงมีความสุขสมปรารถนาตามที่ต้องการ ขอโทษครับ เมื่อเร็วๆ นี้มีรายการไทยทีวีได้มาขอสัมภาษณ์ฉัน เกี่ยวกับน้ำท่วมในปีหน้าและจะนำออกอากาศในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2554 เวลา 3 ทุ่ม ถ้าใครสนใจโปรดรอชมก็ได้ ระพี สาคริก 8 ธันวาคม 2554

By admin | บทความ
DETAIL

ฟ้ามุ่ย (Vanda coerulea) กล้วยไม้ที่มีความงามระดับโลก

บัดนี้ เมืองไทยโดยภาพพจน์ ได้กลายเป็นเมืองกล้วยไม้ระดับโลกไปแล้วแต่มันจะเป็นไปได้สักกี่น้ำ เพราะความคิดในการสร้างสรรค์สังคมนั้น มันขึ้นอยู่กับฉันคนเดียว ส่วนคนอื่นต่างก็มีแต่ความเห็นแก่ตัวเป็นส่วนใหญ่ ฉันต้องกราบขออภัยที่พูดความจริง ในเมื่อตัวเองพูดอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างควรมองให้เห็นด้านดี แต่ในทางปฏิบัติมันก็ยากยิ่งกว่ายาก เพราะจะหาคนสู้ให้ถึงความจริงนั้นมันก็ยากแสนยากด้วย เมื่อปี พ.ศ.2490ในช่วงนั้นสงครามโลกพึ่งเสร็จได้ปีกว่าๆ ส่วนตัวฉันเองก็พึ่งจบหลักสูตรปริญญาตรี 5ปี จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาใหม่ๆ ในอดีตนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่เคยมีครูบาอาจารย์จากภายนอก คงอาศัยบุคลากรภายในกระทรวงเกษตรมาช่วยกันสอนเป็นประจำ ฉันจบหลักสูตร 5ปี จากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งปีนั้นมีคนจบสาขาเกษตรเพียง 2คนเท่านั้น และ 1ใน 2ก็คือตัวฉัน ส่วนผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็อยากได้ตัวฉันเอาไว้เป็นครูอาจารย์ จึงเตรียมอัตราเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย แต่นิสัยของฉันมันก็เหมือนคนบ้า ยิ่งใครอยากได้ฉันก็ยิ่งไม่เอา หากภายในจิตใต้สำนึกกลับรู้สึกท้าทายที่จะออกไปเผชิญกับปัญหาในชนบท แม้คนเดียวก็ยอม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างฉันไม่อยากรับคำสอนจากคนอื่น แต่ต้องการพึ่งพาตนเอง แม้กระทั่งการศึกษาก็ไม่อยากได้ครูที่ไม่ใช่ตัวเอง นี่แหละ หลังจากออกไปอยู่ในบริเวณท้องถิ่นซึ่งเรียกกันว่า “ห้วยแม่โจ้” เพราะที่นั่นมีแต่น้ำในลำห้วย แต่ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ น้ำประปาก็ไม่มี หากเป็นเพราะฉันรู้เท่าทันว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น สิ่งที่ฉันสัมผัสมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กนั้นก็คือ คนในกลุ่มที่เรียกกันว่า “เจ้าขุนมูลนาย” ซึ่งเอากล้วยไม้มาเล่น แถมยังคิดดูถูกเด็ก รวมทั้งคนบ้านนอก ครั้นมาอยู่ในสภาพที่อิสระในปี พ.ศ.2490นอกจากทำงานให้กับทางการอย่างเต็มที่แล้ว ฉันก็อดไม่ได้ที่จะนำเอากล้วยไม้มาเป็นเครื่องมือ เพื่อคิดแก้ไขปัญหาสังคมอย่างที่ตนเคยเห็นมาในอดีต เรื่องนี้ฟังดูแล้วมันเหมือนคิดการใหญ่ […]

DETAIL

ระลึกถึงครูแสน ธรรมยศ

ครูแสน ธรรมยศ ท่านเป็นครูผู้นำเอาวิชาปรัชญามาสอนในมหาวิทยาลัยไทยเป็นคนแรก เมื่อประมาณปี พ.ศ.2474 ฉันไม่ทราบว่ามาถึงปัจจุบันปี พ.ศ.2554แล้ว จะเหลือใครบ้างที่เคยเป็นลูกศิษย์ครูแสน หรือว่าจะมีสักกี่คนที่เคยรู้ว่า ครูแสนคือนักประพันธ์มือเอกคนหนึ่งของเมืองไทยในขณะนั้น หวนกลับไปนึกถึงช่วงปี พ.ศ.2480ในช่วงนั้น คนหนุ่มมักนิยมไปสมัครเรียนทหารในโรงเรียนนายร้อย ซึ่งตั้งอยู่ที่ริมถนนราชดำเนินกลาง ฉันคิดว่า เด็กหนุ่มรุ่นนั้นคงต้องการสวมชุดฟอร์มของนักเรียนนายร้อยเพื่อล่อตาผู้หญิง ตัวฉันเองก็พลอยเป็นไปตามเขาด้วย หลังจากนั้นมีนายทหารจากโรงเรียนนายร้อยรวม 3คนออกมาตั้งโรงเรียนสอนในหลักสูตรชั้นมัธยมบริบูรณ์ คนหนึ่งได้แก่ ร.อ.หลวงบรรหารศุภวาสน์ สอนวิชาพีชคณิต ร.อ.หลวงสุนทรสารศาสตร์ สอนวิชาคณิตศาสตร์ และร.อ.หลวงพิทย์ฯ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ อนึ่ง โรงเรียนนี้ไม่ใช่โรงเรียนกวดวิชา แต่เป็นโรงเรียนเตรียมการสอบคัดเลือกเข้าไปเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก เพราะต้องแข็งในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ตัวฉันเอง หลุดออกมาจากโรงเรียนศิลปากรแผนก นาฎดุรยางค์ก็เพราะนักเรียนนายร้อยเทคนิคคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า กวี ลำเลียงพล ซึ่งชีวิตครั้งสุดท้ายของเขาคือ พลอากาศเอกกวี(ก่อนถึงแก่กรรม) ทั้งนี้เพราะในช่วงที่เขาเป็นนักเรียนนายร้อยนั้น เขาได้มาพบพูดคุยกับฉันเป็นประจำแทบทุกสัปดาห์ ซึ่งฉันเรียกเขาว่า “พี่วี” ในช่วงนั้นยังไม่มีโรงเรียนนายร้อยทหารอากาศ และยังไม่มีโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ดังนั้นคนที่จะเข้าไปเรียนตำรวจจะต้องผ่านหลักสูตรนักเรียนนายร้อยทหารราบ 3ปี ส่วนคนที่จะเข้าไปเรียนเป็นนักบินรวมทั้งทหารปืนใหญ่และทหารช่าง จะต้องผ่านหลักสูตรนักเรียนนายร้อยเทคนิครวม 5ปี และต้องเรียนวิชาคำนวณสูงกว่าทหารราบและตำรวจ พอดีกันกับในช่วงนั้น หลักสูตรมัธยมบริบูรณ์ของรัฐบาลได้เปลี่ยนจากมัธยม 8มาเป็นมัธยม 6โดยเอา 2ปีสุดท้ายของมัธยมบริบูรณ์ไปเป็นพื้นฐานของอุดมศึกษาที่เรียกกันว่า […]

By admin | บทความ
DETAIL

ฤากล้วยไม้จะใกล้ม้วย เพราะแม่คงคาพิโรธ

หวนกลับไปนึกถึงช่วงปี พ.ศ.2472ซึ่งขณะนั้นฉันมีอายุเพียง 7ขวบ ฉันได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเอากล้วยไม้มาเป็นของเล่น แถมยังดูถูกเด็กและชาวบ้านว่ามือเอื้อมไม่ถึง นี่แหละที่มันปลุกจิตวิญญาณของฉันให้ลุกขึ้นมาสู้กับความอยุติธรรมตั้งแต่บัดนั้น ธรรมชาติของมนุษย์นั้น เมื่อสิ่งนี้เป็นยังไงสิ่งอื่นมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นชีวิตที่ผ่านพ้นมา เมื่อเห็นอะไรที่มันไม่ชอบธรรมฉันจะลุกขึ้นมาต่อสู้บนพื้นฐานศิลปะที่อยู่ในวิญญาณตนเองอย่างเต็มที่ แต่เพราะมีศิลปะนี่แหละ ที่ฉันไม่คิดทำร้ายคนอื่น คงมีแต่การอ่อนน้อมถ่อมตนจนเป็นนิสัย ส่วนในรากฐานจิตใจนั้นคงมีความเข้มแข็งอดทนมาตลอด อนึ่ง การที่ฉันเริ่มต้นจับงานกล้วยไม้ ทั้งๆ ที่สังคมไทยไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและเป็นขอเศรษฐีที่เอากล้วยไม้มาดูถูกคนอื่น ฉันกลับนำเอาชีวิตคนตะวันออกมาพิจารณาร่วมกับชีวิตคนตะวันตกซึ่งแตกต่างกันเช่นเดียวกันกับ เครื่องตาช่าง ซึ่งมีการเคลื่อนไหวสู่ด้านตรงกันข้าง ฉันรู้สึกว่าคนตะวันตกนั้น พอถึงเวลา 9โมงเช้าเขาจึงเริ่มทำงาน พอถึงเวลา 4โมงเย็นก็จะเลิกงาน ถ้าใครมีปัญหามารบกวนก็มักอ้างว่า เป็นเวลาส่วนตัว อนึ่ง ฉันเป็นห่วงเศรษฐกิจของบ้านเมืองมาตั้งแต่เล็ก และคิดว่าชีวิตคนตะวันออกไม่ควรเรียนแบบตะวันตก ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างก็จะต้องทำงานให้นักยิ่งกว่าเก่า เพื่อยกระดับเศรษฐกิจให้สูงยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเรื่องเงินๆ ทองๆ นอกจากความคิดและสติปัญญา นี่แหละ เมื่อฉันมีอายุยังไม่ถึง 30ปี ขณะนั้นแม้รายได้ส่วนตัวจะมีน้อย การศึกษาค้นคว้าเรื่องกล้วยไม้ กระทั่งการสร้างโรงเรือนก็เก็บเศษไม้มาทำ อีกทั้งเมื่อได้ความรู้แล้วฉันก็สู้ใช้เวลาเย็นๆ ค่ำๆ เดินทางมาเปิดสอนให้คนเรียนรู้ความจริงเรื่องกล้วยไม้ พอดีกันกับคนทั่วไปเริ่มศรัทธาในอุดมการณ์ที่ฉันสะท้อนออกมาปรากฏ ซึ่งทำให้เขาเหล่านั้นให้ความร่วมมืออย่างกว้างขวางโดยเริ่มต้นจากการให้ยืมห้องประชุมโดยไม่คิดเงินแม้แต่น้อย ซึ่งในช่วงนั้นตัวฉันเองก็ยังรู้แบบงูๆ ปลาๆ ถามใครก็ไม่ยอมบอก ฉันสู้ศึกษาค้นคว้าอยู่ในบ้านส่วนตัว แม้เครื่องมือเครื่องใช้ก็เก็บมาจากพื้นดิน เอามาประดิษฐ์คิดค้นให้มันใช้ได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ฉันก็พบว่าคนอื่นเขาหวงวิชา […]

DETAIL

วิญญาณการเรียนรู้ กับการอนุรักษ์ศักดิ์ศรีของมนุษย์

เธอเพื่อนรักของฉันทุกคน ในขณะที่แผ่นดินถิ่นเกิดของเรากำลังจะลุกเป็นไฟ แม้กระทั่งการถูกน้ำท่วมอย่างหนักจนกระทั่งเอาตัวแทบไม่รอด แล้วเธอหายหน้าไปหลงอยู่กับความสบายที่ไหนกันหมด ฉันบอกแล้วว่า พอลำบากทีไรก็มาบ่นโวยวายกันจนเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง พอเหตุการณ์มันคลี่คลายก็หวนกลับมาคิดแบบเก่ากันอีก เธอจะให้น้ำมันท่วมอีกสักกี่หนแล้วจึงค่อยได้สติอย่างที่โบราณเขาพูดกันว่า “มนุษย์ขึ้เหม็นเคี่ยวเข็ญเทวดา” การจัดการศึกษาของไทยในปัจจุบันมันไม่ได้ช่วยให้สังคมดีขึ้น คงตกอยู่ในความประมาทเพราะขาดสติเป็นส่วนใหญ่ เวลานี้เมื่อพูดถึงการจัดการปัญหาที่อยู่ในกระแสการจัดการโดยมนุษย์ เราก็มักมุ่งไปแก้ไขที่การสร้างวัตถุ แม้แต่การสร้างโรงเรียนและมหาวิทยาลัยกันจนเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง แต่ผลกระทบจากการจัดการที่มันไม่เข้าตา เธอกลับไม่รู้สึกสังหรณ์ใจเลยว่า การจัดการในมนุษย์นั้น ถ้าผู้ใหญ่เอากิเลสเข้าไปใส่ แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงมันก็คงพังราบไปในที่สุด ในปัจจุบัน การนำปฏิบัติมาในอดีตมันได้ช่วยให้สังคมดีขึ้นหรือแย่ลงไปอีก ซึ่งคนที่เข้าไปถูกครอบงำโดยระบบดังกล่าว หากใครไปท้วงติงก็มักชี้แจงกลับมาในลักษณะที่โต้เถียงซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้มีกิเลสแฝงอยู่ในใจ ทุกวันนี้ เราจะหาบุคคลซึ่งดำรงชีวิตอยู่บนพื้นฐานความศรัทธามันก็ยากแสนยาก ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการงมเข็มในทะเล แต่เรากลับได้พบคนที่แสวงอำนาจแทบจะเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไปหมด หากเดินไปทางไหนเราก็หลีกเลี่ยงแทบไม่พ้น ดังที่ฉันเคยกล่าวฝากไว้ในอดีตว่า “คนที่ยกมือไหว้ด้านหน้าอาจไม่ใช่ของจริง แต่คนที่ยกมือไหว้อยู่ด้านหลังนั่นแหละคือของจริงเพราะเขาศรัทธาในบารมี” เมื่อมีสิ่งนั้นก็ย่อมมีสิ่งนี้ เมื่อมีคนศรัทธาก็ย่อมบังเกิดความสุขจากบุญบารมีที่ได้ประกอบมาไว้ในอดีต ความจริงแล้ว ถ้าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้ลึกซึ้งถึงรากเหง้า เราย่อมพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวันของมนุษย์นั้น ธรรมชาติได้มอบมาให้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าชีวิตที่เติบโตขึ้นมาก่อนควรจะหวนกลับไปให้ความเคารพรักและยกย่องจากใจตนเอง เนื่องจากมีเมตตาธรรม และขันติธรรมอยู่ในจิตวิญญาณเพื่อให้ของจริงที่อยู่ในจิตวิญญาณเยาวชนแต่ละคนมันเติบโตขึ้นมาได้อย่างอิสระ อย่างที่ฉันเคยเขียนบทความเรื่องหนึ่งฝากไว้แก่แผ่นดินว่า “ผู้ใหญ่ใจดี” ผู้ใหญ่ที่มีใจดีย่อมเห็นความดีของเด็กรวมทั้งชนคนรุ่นหลัง จึงไม่คิดใช้อำนาจกดหัวเพื่อไม่ให้ความดีของเด็กเติบโตขึ้นมาได้อย่างอิสระ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าธรรมชาติภายในจิตวิญญาณของเด็กมีโอกาสเติบโตขึ้นมาได้ เด็กย่อมเติบโตขึ้นมาบนพื้นฐานความภูมิใจในตนเอง อันหมายถึงศักดิ์ศรีของการดำเนินชีวิต ฉันหวนกลับไปนึกถึงเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ซึ่งโอกาสนั้นฉันได้รับพิจารณาให้เข้าไปรับพระราชทานรางวัลปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ในวันนั้นสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ ได้ขอนำฉันไปสัมภาษณ์ในรายการ […]

By admin | บทความ
DETAIL

อนิจจา แม่คงคาผู้ซื่อสัตย์

บัดนี้ปีพ.ศ.๒๕๕๔แล้วหากเธอแต่ละคนตั้งสติให้ดีคงหวนกลับไปนึกถึงอดีตได้อย่างสุดๆทั้งนี้เพราะมนุษย์ที่เกิดมาสู่โลกใบนี้ควรจะมีการอยู่อย่างรู้เหตุรู้ผล ขณะนี้มีเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ถ้าฉันยังมีสติคงไม่หลงโทษอะไรต่อมิอะไรที่มันอยู่ด้านนอกหากมีบุญพอคงหวนกลับมาโทษตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งซึ่งก่อเหตุดังกล่าวแม้แต่เกิดปัญหาในการดำเนินชีวิตแทนที่จะคิดว่าปัญหามันอยู่ที่อื่นก็คงหันมาหยั่งรู้ความจริงว่า”ปัญหาที่แท้จริงนั้นมันอยู่ในใจเราเองหากดับปัญหาได้ชีวิตก็ย่อมมีความสุข” มนุษย์คือสัตว์ลักษณะหนึ่งซึ่งวิวัฒนาการมาจากชีวิตเล็กๆจนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายเพราะวิวัฒนาการบางอย่างก็ต้องใช้ทุกสิ่งในโลกเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตตัวเองครั้นในที่สุดมนุษย์ก็จะหวนกลับมาทำลายโลกที่ตนอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ฉันนึกถึงคำโบราณบทหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า”มนุษย์ขี้เหม็นเขี้ยวเข็ญเทวดา” ข้อความประโยคนี้ชี้ถึงความจริงไว้อย่างชัดเจนว่า”เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมมีความเห็นแก่ตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่ว่าใครจะมีมากมีน้อยแค่ไหน” เธอเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่ความจริงในทางปฏิบัติมันก็ชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า”ถ้ามนุษย์ไม่เห็นแก่ตัวชีวิตก็ย่อมไม่เกิดเว้นไว้แต่ว่าใครมีมากมีน้อยเท่านั้น”แม้ตัวฉันเองก็มีเพราะถ้าเข้าถึงจริงก็ย่อมต้องรับความจริงให้ได้และรับออกมาจากใจตนเองด้วยจึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ครั้งนี้ช่วงที่ผ่านมาแล้วมีน้ำท่วมติดต่อกันหลายวันแม้แต่ในรายการโทรทัศน์ที่คิดแก้ไขปัญหานี้แม้มนุษย์ก็ยังพูดซ้ำๆซากๆโดยโทษน้ำวิกฤตแทนที่จะรับสารภาพโดยดีว่า”ตัวเองนั่นแหละที่เป็นเหตุส่วนหนึ่ง” ที่ฉันชี้ให้เห็นว่า”มนุษย์โทษน้ำ”ก็เพราะมารุมกันพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า”น้ำก่อวิกฤต”แท้จริงแล้วมนุษย์นั่นแหละที่เป็นผู้ก่อวิกฤตบนพื้นฐานคุณธรรมและจริยธรรมส่วนน้ำนั้นถ้าใครมีรากฐานจิตใจเป็นธรรมย่อมมองเห็นได้เองว่า”แม่คงคาเป็นฝ่ายที่ซื่อตรงที่ไหนสูงก็ว่าสูงที่ไหนต่ำก็ว่าต่ำที่ไหนมีช่องว่างก็ย่อมเข้า” ฉันนั่งดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นโดยไม่เข้าใครออกใครหากพยายามตั้งใจให้เป็นกลางอย่างที่สุด ครั้นหวนกลับไปนึกถึงช่วงปีพ.ศ.๒๔๘๒ในช่วงนั้นฉันไปนั่งพิจารณาวิถีการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติอยู่ที่ริมแม่น้ำปิงจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ริมฝั่งแม่ปิงมนุษย์ยังไม่ได้ไปทำเขื่อนจึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นธรรมชาติที่มีการทำเกษตรกันอย่างสวยงาม ฉันหยั่งรู้ความจริงว่ากระแสน้ำมันไหลจากที่สูงลงมาที่ต่ำอย่างต่อเนื่องแม้จะเกิดน้ำท่วมในตอนล่างบางปีมนุษย์ก็ยังได้ใช้ประโยชน์จากกระแสน้ำเป็นพลังงานในการใช้เกษตรกรรมฉันได้เห็นกงล้อที่เรียกกันว่า”อุ” ซึ่งใช้พลังน้ำพัดให้หมุนอย่างช้าๆแล้วใช้ไม้กระบอกติดไว้โดยรอบ”อุ” สามารถตักน้ำในลำแม่น้ำขึ้นมาใส่รางไม้ไผ่แล้วระบายออกไปสู่สวนผักไม่เพียงเท่านั้นการทำป่าไม้ยังสามารถตัดต้นซุงแล้วปล่อยให้ลอยลงมาสู่ปากน้ำโพธิ์จังหวัดนครสวรรค์เพื่อมาเก็บไปใส่โรงเลื่อยสำหรับแปรรูป นอกจากนั้นถ้ามองลงมาสู่ตอนล่างของกระแสน้ำไหลอีกสักหน่อยเราจะพบว่าที่สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงถนนงามวงศ์วานมีการดักเก็บไม้ซุงที่ปล่อยให้ลอยมาตามกระแสน้ำโดยไม่ต้องขนขึ้นยานพาหนะ สิ่งที่เขียนมาแล้วทั้งหมดนี้มันมีจริงไม่เพียงแต่เห็นด้วยตาเท่านั้นรวมทั้งยังจับด้วยมือตัวเองอีกด้วย เป็นอันว่าแต่ก่อนน้ำธรรมชาติมันก็ไหลจากที่สูงลงมาสู่ที่ต่ำแต่มนุษย์ไม่ได้ใช้กิเลสสร้างความสับสนวุ่นวายให้เกิดเงื่อนปมให้มันหวนกลับมาทำรัายตัวเอง เธอที่รักเธอรู้หรือเปล่าว่าแผ่นดินไทยที่เราอาศัยอยู่นี้แต่ก่อนมันก็ไม่มีแผ่นดินนอกจากเคยเป็นทะเลมาก่อนถ้าไม่เชื่อฉันขอให้ลองพิสูจน์ก็ได้ว่าพื้นดินกรุงเทพฯในขณะนี้ถ้าขุดลงไปประมาณ๑๐กว่าเมตร​ แล้วเธอจะพบเปลือกหอยอัดกันเป็นชั้นๆ นอกจากนั้นภายในน้ำที่มันหล่อเลี้ยงแผ่นดินซึ่งเป็นน้ำกร่อยถ้าเอามาผึ่งให้แห้งแล้วเธอจะพบว่ามีผลึกของแร่ยิปซัมYipsum รูปร่างคล้ายกับขนมเปียกปูนแต่เป็นเกลือแร่ที่ไร้สีกระจายอยู่ทั่วไปหมดภาพเขียนที่มีคนในอดีตเขียนเอาไว้ก็ยังมีภาพปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา “เมื่อมีสิ่งนั้นก็ย่อมมีสิ่งนี้”ดังนั้นเมื่อปากอ่าวแต่ก่อนอยู่กรุงศรีอยุธยาก่อนหน้ากรุงศรีอยุธยาไปอีกก็ต้องอยู่เหนือขึ้นไปอีกเป็นอันว่าการที่น้ำไหลจากด้านบนลงมาสู่ด้านล่างนั้นมันเป็นธรรมชาติของโลกใบนี้มานานแล้ว แสดงว่าถ้ามองย้อนกลับไปสู่อดีตแหลมทองผืนนี้เคยเป็นทะเลมาก่อนเราจึงควรยอมรับว่าน้ำที่มันไหลลงมาจากทางเหนือลงมาใต้นั้นมันมีมานานแล้วแต่ยังไม่มีจิตใจของมนุษย์ที่สกปรกซึ่งหวนกลับมาทำลายตัวเองให้เป็นสัจธรรม ย้อนกลับไปนึกถึงปีพ.ศ.๒๕๒๓ซึ่งช่วงนั้นฉันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีความจริงตัวเองเคยเขียนวิเคราะห์ฝากไว้ตั้งแต่ช่วงนั้นแล้วว่าประเทศสยามอยู่บนพื้นฐานเขตร้อนของโลกเราไม่ควรเอาอย่างตะวันตกแต่เพราะเราส่งคนไปเรียนเมืองฝรั่งกลับมาแล้วเห็นคูคลองที่ไหนเธอก็สร้างวัตถุปิดมันเสียหมดอยู่มาวันหนึ่งน้ำทำท่าจะเอ่อขึ้นมาบนถนนฉันได้ลงไปยืนเปิดฝาท่อร่วมกับพลเอกเกรียงศักดิ์  ชมนันท์นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นอยู่ที่ข้างถนนสายหนึ่งจึงเห็นขยะมันอุดตัน ถ้าคนไทยไม่มักง่ายหลงอยู่กับความสบายขยะเหล่านี้มันคงเกิดขึ้นได้ยากดังนั้นขยะที่เห็นจึงหมายความถึงขยะที่อยู่ในใจมนุษย์แม้ในช่วงนี้มีทั้งขยะและน้ำเน่าก็คงหมายถึงจิตใจมนุษย์ที่เน่าเฟะจนกระทั่งไม่สามารถที่จะต่อรากฐานให้ถึงคุณธรรมอันควรมอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ได้สำเร็จ ดังนั้นคำว่าวิกฤตจึงอย่าไปโทษน้ำเลยขอให้โทษตัวเองเสียดีกว่า ฉันเคยพูดมานานแล้วว่าการพัฒนาชนบทของสังคมไทยมันล้มเหลวเพราะคนที่เข้ามาอยู่ในเมืองแล้วลืมตัวจนกระทั่งขาดการนึกถึงชีวิตชาวนาชาวไร่ที่ยังยากลำบาก ถ้าจะถามว่า”รู้ได้ยังไง” ก็เพราะเหตุว่าในอดีตน้ำท่วมกรุงเทพฯเราก็ไม่เคยเกิดปัญหาหนักขนาดนี้เพราะคนชนบทไม่ได้อพยพเข้ามาแออัดอยู่ในเมืองกรุงแต่บัดนี้ร้านค้าแผงลอยมันก็เต็มไปหมดนอกจากนั้นแต่ก่อนก็ไม่เคยมีโจรกรรมในเวลาค่ำคืนแต่เดี๋ยวนี้ถ้าเดินเดินทางไปไหนในเวลาค่ำคืนก็ต้องระวังตัว เธอที่รักทำไมไม่สังหรใจบ้างเลยหรือคงเอาแต่นอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นแทนที่จะเป็นคนตื่นอยู่เสมอเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งแต่ละคนควรมีส่วนร่วม เหตุการณ์มันคงไม่เพียงแค่นี้วันหน้าคงได้เห็นอะไรดีๆยิ่งกว่านี้อีกมากโบราณเขาถึงกล่าวว่า”ถ้าไม่เจ็บตัวถึงขนาดก็คงไม่รู้จักจำ” เธอที่รักโปรดอย่าลืมตัวจนกระทั่งหลงผิดไปว่าบ้านนี้เมืองนี้ไม่ใช่ของตัวคนเดียวอย่างน้อยควรจะลุกขึ้นมาแสดงความรับผิดชอบเพื่อให้สมศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย นี่แหละที่มันสอนให้รู้ว่าวัฒนธรรมของเราต้องเดินตามสิ่งแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่น ฉันเคยเขียนไว้ว่าแต่ก่อนนี้เมืองไทยเคยมีคูคลองเต็มไปหมดถึงขนาดมีคำขวัญกล่าวกันว่า”กรุงเทพฯคือเวนิสตะวันออก”ซึ่งฉันมีหนังสือเล่มหนึ่งที่กล่าวถึงสะพานในกรุงเทพฯสะพานมีลักษณะโค้งพอให้เรือแล่นลอดได้สะดวก ชาวบ้านพายเรือไปทำงานแม้กระทั่งไปตลาดชาวบ้านก็ทำการตรวจความสะอาดคูคลองไปในตัวโดยไม่ต้องจ้างข้าราชการ หวนกลับไปนึกถึงบทความเรื่องหนึ่งซึ่งฉันเขียนไว้ในอดีตประมาณ๓๐กว่าปีมาแล้วว่า”การพัฒนาชนบทของคนไทยประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” เหตุผลก็คือแต่ก่อนเมืองไทยเคยมีการกระจายงานและกระจายคนที่เป็นชาวนาชาวไร่ได้อย่างกว้างขวางชาวนาชาวไร่ของเราก็ไม่ได้เดือดร้อนหนักเพราะคนในเมืองแม้จะเป็นเจ้านายกับผู้ทำนาก็ยังให้เกียรติซึ่งกันและกันฉันได้เห็นกับตาตัวเองแม้อายุได้เพียง๗-๘ขวบแต่ภาพเหล่านั้นมันก็ยังอยู่ในจิตใจของฉันมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ แม้แต่ในด้านการเมืองพระมหากษัตริย์ของเราทุกพระองค์ยังทรงเสด็จไปประภาสต้นเพื่อใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับเกษตรกรชาวบ้าน ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๗๕เป็นต้นมาเราก็ใช้อำนาจบังคับคุณงามความดีของบรรพบุรุษในอดีตเพราะเข้าใจประชาธิปไตยแต่เพียงในด้านวัตถุตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจารีตประเพณีก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นอำนาจทำให้คนไทยต้องยกพวกฆ่ากันเองมาเป็นช่วงๆอีกทั้งรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ธรรมชาติมันยกพวกแห่กันลงมาทำร้ายชีวิตคนไทยซึ่งอยู่ในระดับด้านล่างรุนแรงยิ่งขึ้น โบราณได้กล่าวไว้ว่า”การสร้างปัญหานั้นมันง่ายแต่การแก้ปัญหานั้นซิยาก” เช่นเดียวกันกับ”ขึ้นขี่หลังเสือนั้นง่ายแต่ลงจากหลังเสือนั้นซิยากยิ่ง” โปรดอย่าคิดว่าปีนี้มันแรงแต่ขอให้คิดถึงวิถีการเปลี่ยนแปลงซึ่งธรรมชาติมันมีอำนาจเหนือมนุษย์ มนุษย์ยังคงหยุดได้ยากธรรมชาติมันก็หยุดได้ยากยิ่งกว่ามนุษย์จนถึงที่สุดจุดจบอันถือเป็นสัจธรรมที่ทุกคนคงจะปฏิเสธเสียมิได้   ระพี  สาคริก ๒๑พฤศจิกายน๒๕๕๔

By admin | บทความ
DETAIL

ยิ่งหยุดนิ่งก็ยิ่งทำหนักขึ้น

ชีวิตมนุษย์แต่ละคนที่เกิดมานั้น ธรรมชาติได้มอบพลังขับเคลื่อนมากับวิญญาณการนำปฏิบัติ อันควรถือว่ามีพละกำลังอันมหาศาล ซึ่งประเด็นนี้ย่อมมีเหตุผลสอดคล้องกันและกัน ดังที่มักกล่าวกันว่า “เพราะมีด้านนั้น จึงมีด้านนี้” ช่วงนี้ฉันมีอายุย่างเข้า 90 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนตัวเองจะยิ่งทำงานหนักมากกว่าเก่าโดยไม่ปล่อยให้เวลามันสูญไปอย่างเปล่าประโยชน์ หลายคนที่เข้ามาหามักเตือนด้วยความเป็นห่วงว่า “ให้พักผ่อนบ้างนะ” ฉันรับฟังจึงตอบกลับไปว่า “นี่ก็พักผ่อนแล้ว” เพราะ “พักผ่อนคือการทำงานอย่างมีความสุข” ทุกคนที่ดำรงชีวิตอยู่บนพื้นผิวโลกใบนี้ สัจธรรมก็ได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า แต่ละคนย่อมมีการเกิดมาแล้วก็ผ่านพ้นไป ถ้าใครสงสัยว่าเกิดมาจากไหน ก่อนอื่นขอให้หวนกลับมาสำรวจตัวเองและมองดูที่เท้าว่าเรายืนอยู่ที่ไหน คำตอบมันก็หาได้ไม่ยากในเมื่อธรรมชาติได้กำหนดไว้ว่า “วิถีการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตมนุษย์แต่ละคน ย่อมหมุนวนเป็นวัฎจักรโดยมีพื้นดินเป็นสิ่งรองรับ” จึงสรุปได้ว่า “เกิดมาก็มาจากพื้นดิน ตายไปก็ย่อมคืนสู่พื้นดินเช่นเดิม” ในเมื่อชีวิตมนุษยชาติมีจิตวิญญาณซึ่งธรรมชาติได้มอบมาให้เพื่อการเรียนรู้ความจริงจากเงื่อนไขที่มันอยู่ในใจตนเอง แม้แต่วิถีการเรียนรู้ซึ่งมีวิญญาณของตนเป็นตัวกำหนดมันก็หมุนวนเป็นวัฎจักร โดยใช้การนำปฏิบัติเริ่มต้นจากความจริงที่มันแฝงอยู่ในร่างกายตนเองเป็นสื่อ ธรรมชาติจึงกำหนดให้ผลจากการปฏิบัติที่ส่งผลกระทบทำให้หวนกลับมาหาตนเองเพื่อชำระล้างเงื่อนไขที่มันแฝงอยู่ในใจตนเอง ดังนั้น ฉันจึงพูดอยู่เสมอว่า “การเรียนรู้ความจริงจากใจตนเองนั้น ย่อมได้ความหลากหลายของเพื่อนมนุษย์เป็นครูสอน” ใครประกอบกรรมดีไว้ในอดีต การปฏิบัติของตนย่อมได้รับความดีเป็นสิ่งตอบสนอง ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลที่เลวร้ายเป็นสิ่งตอบสนองด้วยเช่นกัน เพราะธรรมชาติได้กำหนดไว้ให้แต่ละคนจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันกับเพื่อนร่วมโลก หลังจากกล่าวถึงเหตุและผลภายในกระแสการเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์แต่ละคน จึงขออนุญาตย้ำว่า “วัฎจักรการหมุนวนซึ่งธรรมชาติได้กำหนดมาให้นั้น คงไม่มีชีวิตใดจะฝ่าฝืนได้ หากใครฝ่าฝืนย่อมถูกธรรมชาติลงโทษ” ทั้งนี้ก็เพื่อสอนให้รู้ความจริงว่าทีหน้าทีหลังอย่าได้ทำอีก อนึ่ง ภายในภาพรวมของชีวิตมนุษย์แต่ละคนย่อมมีจิตวิญญาณเป็นของจริงและมีร่างกายเป็นสิ่งแวดล้อมและทำหน้าที่เป็นสื่อการเรียนรู้อย่างสำคัญ เพราะร่างกายมนุษย์คือสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ชิดจิตใจตนเองมากที่สุดที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ความจริงจากใจตนเองโดยผ่านการกรทำของเพื่อนมนุษย์อย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง แต่อิทธิพลของร่างกาย ดังเช่นรูป รส กลิ่น เสียง […]

By admin | บทความ
DETAIL
Page 18 of 23« First...10...1617181920...Last »
[สถาบันอาศรมศิลป์] : เลขที่ ๓๙๙   ซอยอนามัยงามเจริญ ๒๕  แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ๑๐๑๕๐
โทรศัพท์. ๐๒-๔๕๙-๓๒๒๖-๗, ๐๒-๘๖๗-๐๙๐๓-๔ โทรสาร. ต่อ ๑๓๙ E-Mail : [email protected]
[ศ.ระพี สาคริก]
บ้านเลขที่ 6 ถ.พหลโยธิน ซอย41 ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพฯ 10900 Tel:025791028 email : [email protected]
[Professor. Rapee Sagarik] 6 Paholyothin Rd. Soi 41 Ladyao, Jatujak, Bangkok 10900 , Thailand
TOP